เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมอนุมัติให้นำระบบประกันราคาสินค้ามาใช้แทนการรับจำนำ ในการแทรกแซงราคาข้าวฤดูการผลิตปี 2552/2553 ตามที่หลักการที่คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เห็นชอบไปก่อนหน้านี้ โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านการผลิต ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปกำหนดราคาต้นทุนและค่าตอบแทนข้าวแต่ละชนิดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อนำมาสู่การกำหนดราคาประกันข้าวในการดำเนินโครงการ พร้อมกำชับให้มีการเร่งรัดการขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการด้วย และมอบหมายให้ธนาคารเพื่อการเกษตรกรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เร่งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรเข้าใจการดำเนินงานระบบประกันราคาข้าว ทั้งระยะเวลาสั้นและยาว ว่ามีข้อดีกว่าการรับจำนำอย่างไร

นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านการตลาด ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ไปกำหนดมาตรการรักษาเสถียรภาพข้าวเปลือกเพิ่มเติม เพื่อเป็นมาตรการเสริมจากการประกันราคาข้าวเปลือกและนำเสนอต่อ กขช. ให้พิจารณาในครั้งต่อไป

นายวัชระกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบในการมอบอำนาจให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เป็นผู้ดำเนินการเจรจาต่อรองราคาสินค้าเกษตรตามโครงการรับจำนำของรัฐบาลกับผู้แทนรัฐบาลจากต่างประเทศ รวมถึงการลงนามในสัญญาซื้อขายภายในนามรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ (จีทูจี) ซึ่งจะเริ่มในส่วนการเจรจาขายสินค้ามันสำปะหลังกับจีน ซึ่งเบื้องสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นการซื้อขายสินค้าดังกล่าวไม่เข้าเงื่อนไขต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190

นายวัชระกล่าวต่อไปว่า ที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) นำเงินจากการขายข้าวสารในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปี 2551/2552 ที่ระบายได้ และต้องส่งคืน ธ.ก.ส. จำนวน 425 ล้านบาท มาเป็นทุนหมุนเวียนให้ อคส.ใช้เป็นหลักประกันการซื้อขายล่วงหน้าในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (เอเฟท) เพื่อป้องกันการบิดพลิ้วสัญญาของผู้ซื้อและผู้ขาย และอนุมัติงบกลางสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินจ่ายขาด จำนวน 24.64 ล้านบาท เพื่อให้ อคส.เป็นค่าตอบแทนนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า และค่าจ้างผู้จัดการการซื้อขายล่วงหน้า

ที่มา มติชน