อินเดียยกเลิกการประมูลซื้อข้าว อ้างมีสต็อกเพียงพอแล้ว ทั้งๆ ที่มีรายงานผลผลิตตกต่ำหลังเผชิญภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 40 ปี นักวิเคราะห์ชี้เป็นกลยุทธ์ทุบราคา ด้าน“อภิสิทธิ์” ลงพื้นที่พิษณุโลก ตามดูโครงการประกันรายได้เกษตรกร ปลื้มเห็นชาวนาชาวไร่รับเงินส่วนต่าง ประกาศเดินหน้าพร้อมยืดหนี้กองทุนหมู่บ้าน ขณะที่พรรคเพื่อไทยตีคู่นายกฯ ลุยเมืองสองแควลั่นหวนเป็นรัฐบาลสานต่อ “สี่แยกอินโดจีน”
คณะกรรมการด้านอาหารระดับสูงของ อินเดีย สั่งยกเลิกการประมูลซื้อข้าว 3 รายการ รวม30,000ตันซึ่งจะเป็นการนำเข้าข้าวจำนวนมากครั้งแรกของอินเดียนับจากปีพ.ศ.2523
นายอนันต์ ชาร์มา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์อินเดีย กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการด้านอาหารเมื่อวันศุกร์ (20 พ.ย.) ที่ผ่านมา ว่า อินเดียจะไม่นำเข้าข้าว เพราะมีปริมาณข้าวในสต็อกเพียงพอแล้ว แต่จะทบทวนการตัดสินใจใหม่ในกรณีจำเป็น
การประมูลข้าวดังกล่าวดำเนินการโดย เอ็มเอ็มทีซี สเตท เทรดดิง คอร์ป และพีอีซี บริษัทค้าข้าวของทางการอินเดีย ซึ่งได้รับคำสั่งให้นำเข้าข้าวรายละ 10,000 ตัน
สำนักข่าวเพรส ทรัสต์ ออฟ อินเดีย อ้างการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ว่า สาเหตุที่ยกเลิกการประมูล เพราะรัฐบาลไม่ต้องการซื้อข้าวในราคาสูง
การตัดสินใจไม่นำเข้าข้าวครั้งนี้ เป็นการกลับลำหลังจากรัฐบาลอินเดียประกาศว่า อยู่ระหว่างเจรจาซื้อข้าวจากไทยและเวียดนาม เพื่อชดเชยการขาดแคลนอย่างน้อย 15 ล้านตัน จากสถิติปีที่แล้ว โดยอินเดียซึ่งมีประชากรเกือบ 1,200 ล้านคน ผลิตข้าวได้ 99.15 ล้านตัน เมื่อปี 2551
เจ้าหน้าที่ในแวดวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การตัดสินใจยกเลิกการประมูลซื้อข้าวอาจเป็นกลยุทธ์เพื่อกดราคาในตลาดโลกให้ต่ำลง จากนั้นรัฐบาลอินเดียอาจหาทางเข้าซื้อในราคาที่ต้องการ
ทั้งนี้ ราคาข้าวในตลาดโลกทะยานขึ้นมาก หลังอินเดียประกาศว่าจะนำเข้าข้าวล็อตใหญ่ ขณะที่ราคาข้าวภายในของอินเดียเองทะยานขึ้น 25% ในช่วง4 เดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับปริมาณสำรองในประเทศ หลังจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักก่อให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่และทำให้พื้นที่เพาะปลูกเสียหายจำนวนมาก
ในช่วงที่ผ่านมา ผู้ค้าเอกชนในอินเดียนำเข้าข้าวไปแล้วอย่างน้อย 400,000 ตัน เนื่องจากคาดว่าราคาในประเทศจะพุ่งสูงขึ้น และสื่อในอินเดียทำนายว่าราคาข้าวจะยิ่งสูงขึ้นไปอีก
“มาร์ค”ปลื้มเกษตรกรรับเงินประกันรายได้
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ จ.พิษณุโลก เพื่อติดตามโครงการประกันรายได้เกษตรกรที่ อ.วังทอง โดยนายกฯ ได้ตรวจเยี่ยมการทำสัญญาประกันรายได้ที่เกษตรกร อ.วังทอง จำนวน 500 รายมาทำสัญญากับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมสังเกตการณ์การรับเงินส่วนต่างที่เกษตรกรมาขอรับจากโครงการประกันรายได้เกษตรกร ซึ่ง ธ.ก.ส.ได้จัดรถโมบายเคลื่อนที่มารองรับ เพื่อจ่ายเงินสดให้เกษตรกรในโครงการทันที
ทั้งนี้ นายกฯ ได้พูดคุยสอบถามเกษตรกรที่มาขอรับเงินอย่างสนใจ โดยถามว่าทำนากี่ไร่ ขายได้ราคาเท่าไร และได้เงินส่วนต่างเป็นจำนวนเท่าใด ซึ่งเกษตรกรที่มารับเงินต่างพร้อมใจกันกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรี
จากนั้นนายกฯ ให้สัมภาษณ์สดผ่านสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ว่า นโยบายประกันรายได้เกษตรกรจะทำให้ความเป็นอยู่ของเกษตรกรทุกคนดีขึ้น เกษตรกรทุกรายสามารถใช้สิทธิประกันรายได้สินค้าเกษตร ซึ่งต่างจากโครงการรับจำนำในอดีต ที่มีเกษตรกรส่วนหนึ่งไม่ได้ประโยชน์
นายกฯ ยังขึ้นกล่าวปราศรัยบนเวทีด้วยว่า ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ คือ เกษตรกร ประเทศไทยอยู่ได้เพราะเกษตรกร คนไทยมีข้าวกินเพราะชาวนา เมืองไทยเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ ส่งออกข้าวไปทั่วโลก แต่วันนี้เกษตรกรเดือดร้อน รัฐบาลรู้ดีว่าผลผลิตตกต่ำ ขาดที่ดินทำกิน ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องคิดหาวิธีว่าทำอย่างไรเกษตรกร จึงจะมีความมั่นคงและอยู่รอด
“รัฐบาลเปลี่ยนนโยบายจากรับจำนำข้าวที่เกษตรกรได้รับประโยชน์ 1 ใน 3 เป็นโครงการประกันรายได้ ซึ่งเกษตรกรจะได้รับประโยชน์ทุกคน วันนี้ได้เห็นเกษตรกรรับเงินจากโครงการประกันรายได้แล้วชื่นใจ ได้คุยกับเกษตรกรหลายจังหวัดทั้งอุดรธานี เชียงราย ฉะนั้นโครงการประกันรายได้ต้องเดินหน้า พร้อมยืดหนี้กองทุน หมู่บ้านจาก 1 ปีเป็น 2 ปี พร้อมๆ กับการดำเนินโครงการถนนไร้ฝุ่น บ้านมั่นคง” นายกฯ กล่าว
ปชป.ชูความสำเร็จแก้หนี้นอกระบบ
ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรค กล่าวถึง กรณีรัฐบาลริเริ่มโครงการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ซึ่งพรรคเคยประกาศไว้ในวาระประชาชน ว่า ถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนซึ่งรัฐบาลทำได้สำเร็จ และเริ่มโครงการแล้วเมื่อวันที่ 19 พ.ย. แต่กลับมีทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย โดย นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต
รมว.คลัง และนายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาอ้างว่าสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยก็เคยทำเหมือนกัน แต่เวลาหมดเสียก่อน หากมีเวลามากกว่านี้จะสามารถทำให้คนไทยทั้งประเทศปลดหนี้ และหมดความยากจนได้
ประเด็นนี้ขอเรียนว่ารัฐบาลของพรรคไทยรักไทยยังมีต่อเนื่องมาอีก 2 รัฐบาล คือ รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในนามพรรคพลังประชาชน แต่กลับไม่ได้ดำเนินการ ซ้ำในช่วงรัฐบาลไทยรักไทยยังสร้างหนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้นมากเป็นประวัติการณ์ ฉะนั้นไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะวิจารณ์อย่างไร รัฐบาลก็จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบต่อไป เพราะประชาชนได้ประโยชน์
พท.ตีคู่นายกฯ-สานต่อ“สี่แยกอินโดจีน”
วันเดียวกัน คณะผู้บริหารพรรคเพื่อไทย พร้อมแกนนำพรรคและ ส.ส.ภาคเหนือตอนล่าง นำโดย นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรค ได้เดินทางไปที่สี่แยกอินโดจีน หรืออีสเวสต์ คอริดอร์ จ.พิษณุโลก เพื่อรับทราบปัญหาของพี่น้องประชาชนในพื้นที่
นายปานปรีย์ กล่าวว่า โครงการสี่แยกอินโดจีนนี้ ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ดำเนินการไว้ แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่ได้มีการสานต่อ ดังนั้น หากพรรคเพื่อไทยได้เข้ามาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง จะเข้ามาเดินหน้าพัฒนาให้สี่แยกอินโดจีนเป็นรูปธรรม สามารถเชื่อมโยงเศรษฐกิจของสี่ประเทศ คือ ไทย ลาว พม่า และเวียดนามได้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
|