นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการระบายข้าวสารได้มีมติให้เปิดระบายข้าวสารในสต็อกรัฐบาลจำนวน 5 แสนตัน แยกเป็นข้าวหอมมะลิจำนวน 7 หมื่นตัน และที่เหลือเป็นข้าวสารชนิด 5%, 10% และ 25% เพื่อส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ โดยเดิมกำหนดจะทำการชี้แจงเงื่อนไขการประมูลในวันที่ 27 ก.ค. นี้ แต่เนื่องจากยังติดปัญหากรณีที่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดให้การระบายต้องขายยกโกดัง และกรณีของข้าวในแต่ละโกดัง มีการเก็บข้าวหลายชนิดปนกัน ทั้งข้าวขาว ข้าวหอมมะลิ และข้าวหอมปทุมธานี ทำให้มีปัญหาต่อผู้ซื้อ เพราะบางคนต้องการข้าวแค่บางชนิดเท่านั้น ทำให้ยังไม่สามารถออกประกาศเงื่อนไขการประมูลได้ และจำเป็นต้องเลื่อนการชี้แจงออกไป
"จะขอหารือกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เพื่อหาทางออกในเรื่องนี้ก่อน โดยแนวทาง อาจให้แยกขายระหว่างข้าวชนิดต่างๆ ที่อยู่ในโกดังได้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อข้าวแต่ละชนิด ส่วนข่าวที่เหลือจะทยอยเปิดประมูลต่อไป "นางพรทิวา กล่าว
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ได้มีการหารือร่วมกับสมาคมโรงสีไทย ธนาคารของรัฐและเอกชน และสมาคมชาวนาไทย เพื่อหามาตรการเสริมในการป้องกันไม่ให้ราคาข้าวตกต่ำ หลังจากที่ในการแทรกแซงข้าวปีนี้ รัฐบาลได้หันมาใช้วิธีการประกันราคา โดยได้กำหนดแนวทางการทำงาน คือ หากราคาข้าวต่ำกว่าราคาขั้นต่ำที่กำหนด ก็จะเสนอให้มีการเข้าไปช้อนซื้อข้าวจากเกษตรกร โดยมอบหมายให้โรงสี พ่อค้า ตลาดกลาง ผู้ส่งออก กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร องค์การคลังสินค้า (อคส.) และ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เป็นผู้เข้าไปซื้อ และผู้ที่ได้รับมอบหมายจะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ และวงเงินที่ขอกู้ได้มากกว่าปกติ หากเอกชนไม่เข้าร่วม ก็ให้ อคส. และ อ.ต.ก.ที่เป็นหน่วยงานของรัฐที่จะเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้
ทั้งนี้ ในเบื้องต้น ธนาคารออมสิน รับว่าจะไปพิจารณาการให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ หรือไม่มีดอกเบี้ย ขณะที่ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ได้รับที่จะเพิ่มวงเงินสินเชื่อจากรายละ 20 ล้านบาท เพิ่มเป็น 200 ล้านบาท และคิดดอกเบี้ยอัตราพิเศษ ส่วนธนาคารพาณิชย์ ได้รับทราบปัญหา และจะพิจารณาการปล่อยสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษให้ ซึ่งแนวทางทั้งหมดนี้ จะนำเสนอให้ กขช. พิจารณา เพื่อใช้เป็นมาตรการเสริม นอกเหนือจากการประกันราคาข้าวในปีนี้ต่อไป
ิที่มา กรุงเทพธุรกิจ
|