นายปราโมทย์ วานิชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย กรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เปิดเผยว่า การประชุม กขช.ที่มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอให้ที่ประชุมให้ กขช.พิจารณาการชะลอการลดภาษีนำเข้าข้าวเหลือ 0% ภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) ในวันที่ 1 ม.ค.2553 เนื่องจากมีหนังสือด่วนที่สุด จากคณะกรรมาธิการพาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา สภาผู้แทนราษฎร ถึงนายกอร์ปศักดิ์ เพื่อเสนอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้ชะลอการลดภาษีข้าวออกไปก่อน
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมหารือกันแล้วและเห็นชอบหลักการให้มีการเปิดเสรีข้าว แต่ขอรอดูท่าทีของภาคีสมาชิกอื่นๆ เช่น ฟิลิปปินส์ที่ระบุว่าจะเปิดโควตานำข้าวในอัตราภาษี 0% เพียง 5 หมื่นตัน ขณะที่ไทยต้องการให้เปิดโควตาที่ 2.5 แสนตัน ขณะที่อินโดนีเซียเองยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจนในเรื่องนี้
"การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนวันที่ 23-25 ต.ค.นี้ น่าจะมีข้อสรุปในเรื่องนี้ หากท่าทีของประเทศเหล่านี้ไม่ชัดเจน เป็นไปได้ว่าไทยอาจใช้เงื่อนไขนี้ ชะลอการเปิดเสรีข้าวออกไปก่อน แต่ไทยอาจต้องชดเชยแก่ภาคีสมาชิกที่เป็นผู้ส่งออกข้าว อาจเป็นตัวเงินหรือบังคับนำเข้าขั้นต่ำในแต่ละปี" นายปราโมทย์ กล่าว
อย่างไรก็ตามหากไทยต้องเปิดเสรีข้าวอาเซียน กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมมาตรการกำกับและดูแลการนำเข้าไว้แล้ว โดยจะมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการการบริหารนำเข้า พร้อมทั้งจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมนำเข้าข้าว หรือค่าพรีเมียมข้าว เพื่อนำรายได้ดังกล่าว มาจัดตั้งเป็นกองทุนพัฒนาชาวนาไทย รวมถึงการกำหนดกฎเกณฑ์การนำเข้าข้าว เช่น กำหนดคุณสมบัติผู้นำเข้ากำหนดระยะเวลานำเข้า กำหนดมาตรฐานคุณภาพข้าว กำหนดเงื่อนไขปลอดจีเอ็มโอ กำหนดให้มีใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า และกำหนดเงื่อนไขด้านมาตรฐานสุขอนามัย เป็นต้น
นายปราโมทย์ เสนอว่า ในฐานะที่เป็นพ่อค้าเห็นว่าไทยน่าจะใช้ประโยชน์ จากการเปิดเสรีข้าวภายใต้อาฟตาได้ เช่น การนำเข้าข้าวจากพม่า ซึ่งมีราคาต่ำกว่าข้าวไทย 50% ก่อนนำมาผสมกับข้าวไทยเป็นข้าว 25% เพื่อส่งไปขายในตลาดข้าวที่มีความต้องการข้าว เพื่อความมั่นคงด้านอาหาร เช่น ฟิลิปปินส์
ก่อนหน้านี้ไทยมีสัดส่วนส่งออกข้าวไปฟิลิปปินส์ 85% แต่วันนี้สัดส่วนส่งออกลดลงเหลือ 5% เพราะถูกเวียดนามแย่งตลาด โดยเวียดนามส่งออกข้าว 25% และเป็นข้าวที่มีราคาถูกกว่าข้าวไทย 80-100 ดอลลาร์ หรือไทยอาจใช้วิธีนำเข้าข้าวท่อน เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ในประเทศและส่งออกไป
แหล่งข่าวจากที่ประชุม กขช.ระบุว่า คณะกรรมาธิการพาณิชย์ฯ เสนอเหตุผลที่ให้ไทยชะลอการลดภาษีข้าวเหลือ 0% โดยขณะนี้ในอาเซียนมีหลายประเทศที่เป็นผู้ผลิตข้าวส่งออก อย่างเวียดนาม กัมพูชาและพม่า ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าข้าวไทยมาก ขณะที่ผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ในอาเซียนมี 3 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย แต่ทั้ง 3 ประเทศต่างชะลอการลดภาษีข้าวเหลือ 0% ออกไปอีกหลายปี เพื่อปกป้องเกษตรกรในประเทศ รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่จะมีการนำเข้าข้าวด้อยคุณภาพมาผสมกับข้าวไทย และที่สำคัญที่สุดชาวนาไทย อาจได้รับความเดือดร้อนอย่างรุนแรง เพราะมีการนำเข้าข้าวราคาถูกจากประเทศผู้ผลิตในอาเซียน
นายกอร์ปศักดิ์ กล่าวว่า กขช.รับทราบในหลักการที่ไทยจะลดภาษีนำเข้าข้าวเหลือ 0% ในวันที่ 1 ม.ค.2553 แต่ยังติดเงื่อนไขอีกหลายข้อ ที่ไทยจะต้องเจรจากับภาคีอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์ที่ระบุว่าจะเปิดให้นำเข้าข้าวในอัตราภาษี 0% เพียง 5 หมื่นตันเท่านั้น ซึ่งไทยเห็นว่าน้อยเกินไป ดังนั้น ไทยจะขอดูท่าทีของประเทศเหล่านี้ในการประชุมอาเซียนครั้งที่ 15 นี้ ก่อนมีตัดสินใจดำเนินการใดๆ ต่อไป
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ |