www.thairiceexporters.or.th  
home about us members contact us FAQ link site map English Thai

โอกาสฉุดราคาข้าวเลือนราง รัฐมึนแบกสต๊อกอ่วม 8 ล้านตัน


คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2552 อนุมัติให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) และองค์การคลังสินค้า (อคส.) รับซื้อข้าวเปลือก โดยอนุมัติงบประมาณ 2 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินโครงการได้ภายในวันที่ 9 พ.ย.นี้ โดยจะมุ่งเน้นในส่วนของข้าวเปลือกเจ้า และข้าวหอมปทุมธานี ในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างซึ่งมีราคาตกต่ำ ก่อนจะทยอยไปเปิดจุดรับซื้อข้าวเหนียว และข้าวหอมมะลิต่อไปตามลำดับเพื่อช่วยยกระดับราคาข้าว หลังจากรัฐบาลประกาศจะเริ่มใช้โครงการประกันราคากับข้าวนาปี โดยเริ่มโครงการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 แต่ปรากฏว่าราคาข้าวในประเทศกลับปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า สถานการณ์ที่ราคาข้าวไทยปรับลดลงสวนทางกับราคาตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง แม้นักวิเคราะห์ ทั่วโลกจะคาดว่าราคาจะปรับตัวดีขึ้นเหมือนปี 2551 ที่เคยปรับทะลุถึงตันละ 1,000 เหรียญสหรัฐ หลังจากที่ทิศทางราคาน้ำมันปีนี้เริ่มปรับสูงขึ้นจนแตะระดับ 80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้ราคา สินค้าโภคภัณฑ์อื่นเริ่มปรับตัวตาม แต่สำหรับราคาข้าวไทยคงมีโอกาส "น้อยมาก" ที่จะปรับสูงขึ้น เพราะไทยมีปัจจัยเสี่ยงจากโครงการประกันราคาที่ขาดความชัดเจนทำให้ราคาข้าวในตลาดปรับลดลง และที่สำคัญคือปีนี้ไทยมีสต๊อกข้าวรัฐบาลสูงถึง 6 ล้านตัน ที่ยังไม่ได้มีแผนการระบายชัดเจน และอาจจะตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวเข้าไปเพิ่มอีก 1-2 ล้านตันด้วย เท่ากับจะมีสต๊อกสูง 7-8 ล้านตัน

นายชาญชัย รักษ์ธนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย เปิดเผยว่า ทาง อคส. และ อ.ต.ก.ได้จัดทำเกณฑ์ในการคัดเลือกโรงสีเข้าร่วมโครงการเสร็จแล้ว โดยปรับเพิ่มวงเงินค้ำประกันจากเดิมค้ำประกัน 20% ให้เป็นค้ำประกัน 100% โดยอาจจะแบงก์การันตี 100% หรือแบ่งใช้แบงก์การันตี 70% และค้ำประกันบุคคล 30% ก็ได้ คาดว่าจะมีโรงสีที่พร้อมเข้าร่วมโครงการ 600-700 โรง โดยแต่ละแห่งจะช่วยรับซื้อข้าวจากท้องตลาดได้ปริมาณ 30% ของกำลังการผลิต และที่เหลืออีก 70% จะทำการค้าปกติ

"ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการตั้งโต๊ะรับซื้อในราคาตลาดอ้างอิง เพราะรัฐบาลซื้อราคาเดียวกับเอกชนไม่ได้ช่วยดึงให้ราคาข้าวในตลาดสูงขึ้นแน่ หากรัฐบาลตั้งราคารับซื้อที่ตันละ 9,500 บาท เพื่อนำตลาดให้สูงขึ้น จะทำให้ราคาตลาดปรับสูงขึ้นตาม"

แต่ที่สำคัญรัฐบาลต้องเตรียมตัวรอรับปัญหาใหม่ หากจะใช้ระบบประกันราคาต่อเนื่องถึงปีหน้า จะส่งผลกระทบต่อชาวนาที่อาศัยที่นาเช่า ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วน 80% ของที่นาทั้งหมดในประเทศ 57 ล้านไร่ กรณีนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว หลังจากนายทุนคิดค่าเช่า 500 บาทต่อไร่ต่อปี แต่ในปีที่ราคารับจำนำเพิ่มเป็นตันละ 14,000 บาท ก็ปรับขึ้นค่าเช่าเป็น 500 บาทต่อไร่ต่อรอบการปลูก ซึ่งชาวนาชลประทานปลูกปีละ 4-5 รอบ แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้ระบบการประกันราคา เช่น ทำนา 40 ไร่ (25 ตัน) ได้ค่าเช่าแค่ 20,000 บาท ต่ำกว่าค่าชดเชยซึ่งจะได้ถึง 50,000 บาท ดังนั้นอาจมีนายทุนดึงเอาที่นากลับไปทำเอง และจ้างชาวนาเป็นลูกจ้าง หรืออาจจะใช้วิธีปรับขึ้นค่าเช่าจาก 500 บาท เป็น 1,000-1,500 บาท ซึ่งจะกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวทั่วประเทศที่มีถึง 3.7 ล้านครัวเรือน

ขณะที่รัฐบาลต้องสูญเสียงบประมาณมากกว่าปกติเป็นสองเท่า คือ ส่วนแรกรัฐบาลต้องนำไปจ่ายเงินชดเชยให้เกษตรกรตามโครงการประกันรายได้ ซึ่งขณะนี้คาดว่ายอดผลผลิตจะเพิ่มขึ้นถึง 34 ล้านตัน จากเดิม 23 ล้านตัน ถ้าหากราคาข้าวในตลาดลดลงเหลือ 8,000 บาท จากราคาประกัน 10,000 บาท รัฐบาลต้องจ่ายตันละ 2,000 ใช้งบประมาณ 70,000 ล้านบาท โดยไม่มีข้าวในมือสักเม็ด และยังต้องใช้งบประมาณอีก 20,000 ล้านบาท ในการตั้งโต๊ะรับซื้อเพื่อพยุงราคาข้าวในตลาดอีก ซึ่งอย่างมากที่สุดก็จะได้ข้าว 2 ล้านตัน รวมงบประมาณรัฐบาลต้องเสียจาก 2 ส่วน คือ 90,000 ล้านบาท จากเดิมที่ขอไว้สำหรับ ประกันราคา 25,000 ล้านบาท และของบฯตั้งโต๊ะซื้ออีก 20,000 ล้านบาท เท่ากับต้องของบฯเพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท

การตั้งโต๊ะรับซื้อจะทำให้รัฐบาลจะมี สต๊อกข้าวเพิ่มขึ้น 2 ล้านตันข้าวเปลือก เมื่อสีแปรจะได้ 1 ล้านตันเศษข้าวสาร จาก สต๊อกปัจจุบันที่มีอยู่ 6 ล้านตัน รวมเป็น 7 ล้านตันเศษที่รัฐบาลจะต้องเสียงบประมาณในการจัดเก็บรักษา และต้องบริหารจัดการให้ดี โดยจะต้องไม่ระบายออกมากจนทำให้ราคาข้าวตกต่ำลงอีก เพราะไม่เช่นนั้นจะกระทบกับราคาผลผลิตส่วนเกินจากการประกันราคา เช่น ปกติผลิตได้ครัวเรือนละ 50 ตัน ประกันราคาได้เพียงครัวเรือนละ 25 ตัน (ข้าวเปลือกเจ้า) ส่วนผลผลิตที่เหลืออีก 25 ตันจะต้องขายในตลาด หากราคาตลาดตกต่ำผลผลิตส่วนนี้ก็จะได้ราคาต่ำ และไม่ได้รับการชดเชยรายได้จากรัฐบาลด้วย และยังมีการตั้งข้อสังเกตว่าขณะนี้ราคาข้าวในตลาดมี 2 ราคา เพราะในพื้นที่ภาคใต้ยังดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังมีกำหนดสิ้นสุดวันที่ 31 ต.ค. 52 โดยมีราคาตันละ 11,800 บาท แตกต่างจากราคาข้าวนาปี ฤดู 2552/2553 ที่ต่ำลงถึง 8,666 บาท ทั้งที่ปกติแล้วราคาข้าวนาปีจะสูงกว่านาปรัง

นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ ครม.เห็นชอบมาตรการแทรกแซงราคาข้าวตามที่กระทรวงพาณิชย์นำเสนอ ธ.ก.ส.ได้รับมอบหมายให้ไปจัดเตรียมโครงการสินเชื่อเพื่อ ใช้ในการแทรกแซงราคาข้าวเปลือกไว้ 2 โครงการ คิดเป็นวงเงินรวม 30,000 ล้านบาท คือ 1) โครงการสินเชื่อสำหรับโรงสี ร่วมกับธนาคารพาณิชย์เอกชน ในวงเงินเบื้องต้น 20,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้จะเป็นโครงการสินเชื่อของ ธ.ก.ส.ประมาณ 15,000 ล้านบาท คิดดอกเบี้ยในอัตรา 2% ต่อปี และ 2) โครงการสินเชื่อสำหรับกลุ่มเกษตรกรหรือเกษตรกรที่มียุ้งฉาง วงเงิน 15,000 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย 2% ต่อปีเช่นกัน และเนื่องจากโครงการดังกล่าว ธ.ก.ส.คิดดอกเบี้ยต่ำกว่าปกติ จึงจำเป็นที่จะต้องทำเรื่องเสนอให้ที่ประชุม ครม.จัดงบฯมาชดเชยส่วนต่างดอกเบี้ยให้กับ ธ.ก.ส.

"ส่วนราคาข้าวในปีนี้น่าจะมีราคาสูง เนื่องจากประเทศอินเดียมีปัญหาภัยแล้งจนต้องระงับการส่งออกข้าว ประเทศฟิลิปปินส์ เวียดนามก็ประสบปัญหาอุทกภัยจากพายุไต้ฝุ่นถึง 2 ลูก ราคาข้าวน่าจะสูง แต่ปรากฏว่าในช่วงนี้มีผลผลิตข้าวออกมาเยอะ ทำให้ราคาลดต่ำลง ทางกระทรวงพาณิชย์จึงจำเป็นที่จะต้องออกมาตรการมาแทรกแซงราคาข้าว โดยนำข้าวเข้าไปเก็บไว้ในสต๊อก โดยให้ อคส.และ อ.ต.ก.เข้ามารับซื้อ ส่วน ธ.ก.ส.จะเป็นผู้ปล่อยกู้ให้กับโรงสีและเกษตรกรมีเงินมาซื้อข้าวไปเก็บในยุ้งฉางอีกแรงหนึ่ง เพื่อรอดีมานด์จากต่างประเทศเข้ามา" นายลักษณ์กล่าว

นายลักษณ์กล่าวต่อไปอีกว่า ส่วนราคาข้าวเปลือกเจ้าที่เจ้าหน้าที่ ธ.ก.ส.ออกไปสำรวจเมื่อวันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา ความชื้นที่ 14-15% อยู่ที่ตันละ 8,000-8,900 บาท ถ้าความชื้นที่ 24-25% อยู่ที่ตันละ 6,400-7,000 บาท ส่วนราคาอ้างอิง ณ วันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา อยู่ที่ 8,466 บาทต่อตัน หากเกษตรกรเข้ามาใช้สิทธิประกันราคาในช่วงนี้จะรับเงินชดเชยไปเลย 1,534 บาทต่อตัน แต่ในช่วงนี้ยังไม่มีเกษตรกรเข้ามาใช้สิทธิ

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ

 


©
Thai Rice Exporters Association

37 Soi Ngamduplee , Rama 4 Road , Toongmahamek , Sathorn District , Bangkok 10120 ,
Tel. 0-2287-2674-7 , 0-2287-2663-4 , Fax : 0-2287-2678

E-mail :
contact@thairiceexporters.or.th


Copyright © 2009 All rights reserved by Thai Rice Exporters Association.