ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ ว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม กระทรวงพาณิชย์ได้เปิดซองเสนอราคาซื้อขายข้าวสารในสต็อกรัฐบาล แบ่งเป็นข้าวขาว 5% จำนวน 460,000 ตัน ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 อีกประมาณ 100,000 ตัน ผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย(AFET) โดยจะมีการส่งมอบข้าวภายในงวดเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2552

ทั้งนี้ ปรากฏว่ามีเอกชนที่สนใจร่วมเสนอราคา จำนวน 47 ราย โดยแต่ละรายสามารถยื่นเสนอราคาได้ทั้ง 2 ประเภท และทุกช่วงเดือนที่กำหนดส่งมอบ แบ่งเป็น ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 รับมอบเดือนตุลาคม มี 21 ราย รับมอบเดือนพฤศจิกายน มี 18 ราย ส่วนข้าวขาว 5% รับมอบเดือนตุลาคม มี 34 ราย รับมอบเดือนพฤศจิกายน มี 20 ราย และรับมอบเดือนธันวาคม มี 30 ราย โดยเอกชนที่เข้าร่วมเสนอราคา อาทิ โรงสีข้าว และผู้ส่งออกข้าว ซึ่งในเงื่อนไขการประมูลได้กำหนดให้เอกชนสามารถส่งออก และนำมาจัดทำข้าวถุงจำหน่ายภายในประเทศได้

อย่างไรก็ตาม จากการเปิดซองราคา พบว่า เอกชนส่วนใหญ่มีการเสนอซื้อข้าวสารในสต็อกรัฐบาล โดยให้ราคาส่วนต่างติดลบในช่วงส่งมอบเฉลี่ยเป็นลบที่กิโลกรัมละ 1-6 บาท ขณะที่ในรายที่ให้ราคาส่วนต่างเป็นบวกนั้น ก็ให้ราคาที่เป็นบวกเพียงกิโลกรัมละ 0.35 บาทเท่านั้น

นอกจากนี้ ถ้าดูราคาเฉลี่ยในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าฯ ในเดือนกันยายน 2553 และตลาดภายในประเทศ พบว่า ราคาข้าวขาว 5% เฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 15,000-16,000 บาท ส่วนข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 เฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 30,000 บาท ดังนั้นถ้าเอกชนรายใดที่มีการเสนอมาเฉลี่ยเป็นลบ เมื่อถึงช่วงส่งมอบจะทำให้ภาครัฐขายข้าวขาดทุนเมื่อเทียบราคาล่วงหน้า ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาระบายข้าวจะมีการประชุมในช่วงสัปดาห์นี้ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมของราคาต่อไป

ขณะที่ระเบียบของตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าฯ ระบุว่า การชำระราคาส่วนต่างด้วยเงินแทนการส่งมอบ(Cash Settlement) ตลาดจะใช้ราคายุติสุดท้ายในการคำนวณผลกำไรขาดทุนและปรับฐานะบัญชีเงินประกัน โดยให้ถือว่าฐานะการถือครองข้อตกลงของสมาชิกผู้ขายและผู้ซื้อจะยุติลง เมื่อสมาชิกผู้ขายหรือสมาชิกผู้ซื้อฝ่ายที่ได้กำไรได้รับเงินครบถ้วน หรือเมื่อสมาชิกผู้ขายหรือสมาชิกผู้ซื้อฝ่ายที่ขาดทุนได้ชำระเงินครบถ้วน แล้วแต่กรณี

ที่มา แนวหน้า