รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ขณะนี้ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกรัฐบาล ได้เสนอผลการตรวจสอบการจำหน่ายข้าวสารในสต็อก ในสมัยที่นายไชยา สะสมทรัพย์ เป็น รมว.พาณิชย์ ให้กับนายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์แล้ว ผลสรุปที่ออกมา ชี้ว่า การเปิดประมูลข้าวทำถูกต้องตามขั้นตอน และองค์การคลังสินค้า (อคส.) ควรจะดำเนินการส่งมอบข้าวให้กับผู้ชนะการประมูล หลังจากชะลอมาตั้งแต่วันที่ 29 ธ.ค. 2551 ทั้งนี้นายศิริพลได้เสนอผลการตรวจสอบให้กับนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เพื่อพิจารณาดำเนินการแล้ว

ทั้งนี้ ภายหลังจัดตั้งรัฐบาลใหม่นางพรทิวาและนายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ ได้ออกมา ระบุว่า จะมีการตรวจสอบการขายข้าวในสต็อกรัฐบาล สมัยที่นายไชยาเป็น รมว.พาณิชย์อย่างตรงไปตรงมา

แหล่งข่าว กล่าวว่า ประเด็นที่คณะกรรมการตรวจสอบได้สรุปออกมา ไม่สามารถตอบคำถามหรือข้อสงสัยใดๆ ได้เลย เพียงแต่สรุปออกมาเพียงว่าการขายข้าวทำถูกต้องตามขั้นตอนเท่านั้น

ประเด็นที่คณะกรรมการไม่ได้ตรวจสอบ ในการเปิดประมูลข้าวรัฐบาลทั้ง 2 ครั้ง คือ การประมูลครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2551 ที่เป็นการเปิดประมูลข้าวเพื่อระบายข้าวในสต็อกเก่า และมีความผิดปกติเกิดขึ้น เพราะผู้ส่งออกได้รับแจ้งทีโออาร์อย่างไม่เท่าเทียมกัน การยื่นซองเสนอราคา การอนุมัติขายข้าวจำนวน 1.5 ล้านตัน ในราคาต้นทุนที่รับจำนำเข้ามา โดยไม่คำนึงถึงราคาตลาด ณ ขณะนั้น ทั้งๆ ที่ขั้นตอนการประมูลปกติ จะยอมให้ผู้ส่งออกหักค่าเสื่อมได้ปีละ 10 ดอลลาร์ แต่ก็ไม่นำหลักเกณฑ์นี้มาใช้ ทำให้รัฐเสียหายจากการขายข้าวสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งกรรมการไม่ได้ตอบคำถามเหล่านี้

ส่วนครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2551 เป็นการเปิดประมูลข้าวสต็อกใหม่ และข้าวเก่าบางส่วนที่เหลือจากการประมูลครั้งแรก โดยเปิดประมูลแบบเร่งรีบ เงื่อนไขการประมูลต่างจากครั้งที่ 1 โดยมีการเปิดซองเสนอซื้อและซองราคาในวันเดียวกัน และมีการอนุมัติขายจำนวน 1.3 ล้านตัน ทั้งๆ ที่การเจรจาต่อรองยังไม่เสร็จสิ้น โดยเซ็นอนุมัติในวันที่ 1 ธ.ค. ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินยุบพรรคพลังประชาชนในวันที่ 2 ธ.ค. 2551 ซึ่งการขายข้าวครั้งนี้ ราคาต่ำกว่าราคารับจำนำเข้ามา ขาดทุน 1 หมื่นล้านบาท

ทางด้านนายมณฑล เจียมเจริญ รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า ว่า ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านเกษตรและป่าไม้ เห็นชอบให้เสนอรัฐมนตรีเกษตรอาเซียน อนุมัติตั้งองค์กรถาวรสำรองข้าวอาเซียนในการประชุมเดือน ก.พ.นี้ โดยองค์กรนี้จะมีความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหารของภูมิภาค โดยเสนอให้ตั้งองค์กรในไทยสำรองข้าวอย่างน้อย 3.5 แสนตัน ซึ่งไทยจะได้ประโยชน์ ทำให้ทราบถึงปริมาณการผลิตข้าวที่แท้จริง ดูแลการโยกย้ายถ่ายเทข้าวของแต่ละประเทศได้ด้วย

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ