แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการข้าวถุงได้ชี้แจงถึงสาเหตุที่ทำให้ราคาข้าวถุงแพงขึ้น 15-20 บาท/ถุง 15 กก. เพราะถูกผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่บางแห่งปรับเพิ่มค่าใช้จ่ายในการนำสินค้าเข้าห้าง จนต้นทุนสูงขึ้นเช่น เพิ่มการเรียกเก็บค่าแรกเข้าสินค้าจากหลักแสนบาทเป็นล้านบาท กำหนดเวลาถอดถอนสินค้าที่ประเมินว่าขายได้น้อยให้เร็วขึ้น หักเงินล่วงหน้าค่าโฆษณาลงสินค้าแผ่นพับจาก 5 แสนบาท เป็น 1 ล้านบาททุก 15 วัน หักกำไรจากค่าธรรมเนียมเพิ่มจาก 1-2% เป็น 5-10% จนต้นทุนข้าวถุงเพิ่มขึ้นอีก 15-20 บาท/ถุง จึงต้องมีการผลักภาระให้ผู้ซื้อ และบางห้างต้องการบีบการถอนตัวของผู้ผลิตข้าวถุง เพื่อนำข้าวถุงตราของห้างไปวางจำหน่ายแทน

นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า ในวันที่ 30 กรกฎาคม จะเรียกผู้ผลิตข้าวถุงและผู้ค้าข้าวมาหารือถึงสถานการณ์ราคาข้าวถุง และขอความร่วมมือไม่ให้มีการปรับขึ้นราคาข้าวถุงจนกระทบต่อผู้บริโภค การเปิดโครงการรับจำนำนาปีและนาปรัง หรือการไม่เปิดระบายข้าวในสต๊อคของรัฐ ไม่ได้เป็นการบิดเบือนตลาด จนทำให้ข้าวในตลาดเกิดขาดแคลน หรือทำให้เกิดการแย่งซื้อระหว่างผู้ส่งออกกับผู้จำหน่ายข้าวภายในประเทศ จนทำให้ต้นทุนการผลิตสูง เพราะปีหนึ่งปลูกข้าวได้เกือบ 30 ล้านตัน แต่ขณะนี้มีการเก็บในสต๊อคแค่ 5 ล้านตันเท่านั้น ไม่น่าจะทำให้ตลาดปั่นป่วน ดังนั้น จะต้องมีการสอบถามให้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนทางเลือกในการนำข้าวสต๊อครัฐมาบรรจุถุงขายราคาถูกแก่ประชาชนยังไม่เกิดขึ้นในช่วงนี้

นายสมฤกษ์ ตั้งพิรุฬห์ธรรม นายกสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย กล่าวว่า ในการหารือกับกรมการค้าภายในในวันที่ 30 ก.ค. จะเข้าไปชี้แจงสาเหตุที่ทำให้ข้าวถุงแพง 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตข้าวถุง เนื่องจากนโยบายการระบายข้าวที่ไม่ชัดเจนของรัฐในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ผู้ส่งออก และผู้ผลิตข้าวถุงเข้าไปแย่งซื้อข้าวในตลาด จนทำให้ราคาปรับสูงขึ้นมาก 2.ข้าวหอมมะลิเข้าสู่ช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยวทำให้ราคาสูงขึ้น ถือเป็นปกติในทุกฤดูกาล 3.จะร้องขอความเป็นธรรมให้กระทรวงพาณิชย์ช่วยประสานกับร้านโมเดิร์นเทรด ในการขอปรับลดค่าธรรมเนียมการจำหน่ายสินค้าในห้างใหม่ เพราะทำให้ผู้ประกอบการได้รับผลกระทบมาก

ที่มา มติชน