น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการออกมาตรการรองรับภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียนที่จะเปิดเสรีสินค้าภาคการเกษตรภาษีเหลือเพียงร้อยละ 0 ที่จะเริ่มภายในกลุ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 โดยเฉพาะข้าวที่หลายฝ่ายวิตกว่าจะมีการนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาแข่งขันกับข้าวไทยมากเกินไป ว่า ขณะนี้คณะอนุกรรมการด้านการตลาดสินค้าเกษตร ซึ่งมีนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานได้พิจารณากรอบดังกล่าวแล้ว คาดว่าจะประชุมคณะอนุกรรมการฯ อีกครั้งสัปดาห์หน้าก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและประกาศให้เป็นการทั่วไปได้ต่อไป

ทั้งนี้ เงื่อนไขและคุณสมบัติหลังจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว คือ ผู้นำเข้าข้าวจะต้องเป็นนิติบุคคลและมีการจดทะเบียนกับส่วนราชการเป็นผู้ค้าข้าวกับกรมการค้าภายในจดทะเบียนการเป็นนิติบุคคลกับทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จดทะเบียนเป็นผู้นำเข้าและส่งออกกับกรมการค้าต่างประเทศและอีกหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงต้องมีคุณสมบัติเป็นผู้นำเข้าข้าวกำหนดคุณสมบัติต้องเป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพและไร้สารตกค้างและอีกหลายแนวทาง ซึ่งเป็นแนวทางค่อนข้างรัดกุมมาก คาดว่าจะทำให้ปัญหาการลักลอบนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

“ไม่รู้สึกกังวลใจ แม้ว่าประเทศเพื่อนบ้านจะปลูกข้าวเหมือนกับประเทศไทยและมีการพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมคุณภาพดีได้แล้วและเข้ามาแข่งขันกับข้าวหอมไทย แต่ที่ผ่านมาข้าวหอมไทยเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก ดังนั้น น่าจะเป็นผลดีต่อไทยมากกว่าที่จะรักษาคุณภาพข้าวให้มีคุณภาพดีเพิ่มขึ้น รวมทั้งจะเกิดการแข็งขันระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านที่จะให้คนทั่วโลกได้รับทราบข้าวในกลุ่มอาเซียนมาคุณภาพสูง” น.ส.ชุติมา กล่าว

อย่างไรก็ตาม การที่ไทยจะประกาศคุณสมบัติและเงื่อนไขการนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในไทยภายใต้กรอบอาเซียนปีหน้านั้น จะทำให้ข้าวไทยมีคุณภาพสูงและยังยกระดับข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย ที่ผ่านมาการนำเข้าข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านของผู้นำเข้าข้าวนั้น  ก็มีเข้ามาต่อเนื่องภายใต้กรอบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอาเซียนหรือองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ)  ซึ่งเสียภาษีทั้งในโควต้าและนอกโควตา แต่ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าชนิดข้าวหักที่จะนำเข้ามาใช้ในด้านอุตสาหกรรมต่างๆ และนำเข้ามาบริโภคด้วยแต่ไม่มาก จึงไม่น่าจะกังวลใจในเรื่องเหล่านี้

น.ส.ชุติมา กล่าวอีกว่า ส่วนการระบายสินค้าภาคการเกษตรใน 3 ชนิด ได้แก่ ข้าว  ข้าวโพดและมันสำปะหลังนั้นตามที่รัฐบาลประกาศเปิดการประมูลในช่วงที่ผ่านมาถือว่าขณะนี้ยอดจำนวนสินค้าเกษตรเหล่านี้ที่ค้างสตอกอยู่กับรัฐบาลเริ่มน้อยลง เช่น  ข้าวโพดจากจำนวนเกือบ 1 ล้านตัน ขณะนี้เหลือประมาณกว่า 300,000 ตัน มันสำปะหลังและแป้งมันเกือบ 2 ล้านตัน ระบายได้แล้วกว่า 1.1 ล้านตัน คาดว่าส่วนที่เหลือไม่มีปัญหาหลายประเทศมีความต้องการนำไปใช้เป็นพลังงานทดแทนและใช้ในเชิงอุตสาหกรรม ส่วนข้าวสารที่อยู่ในสตอกรัฐบาลกว่า 4 ล้านตัน ก็ได้เปิดประมูลผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าไปแล้วกว่า 600,000  ตัน และอยู่ระหว่างการส่งมอบข้าวในแต่ละช่วงและที่เหลือรัฐบาลอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะระบายออกด้วยเช่นกัน

ที่มา สำนักข่าวไทย