แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 29 กันยายน นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เตรียมหารือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ถึงสถานการณ์ข้าวและขอความเห็นชอบระบายข้าวสารในสต๊อครัฐบาลปริมาณ 4-5 แสนตัน ก่อนกระทรวงพาณิชย์ออกประกาศ เพื่อลดแรงกดดันความต้องการซื้อข้าวเพื่อการส่งออก และพยุงราคาข้าวในประเทศที่กำลังผันผวน เพราะยังวิตกต่อภาวะราคาข้าวหลังใช้โครงการประกันราคาสำหรับข้าวเปลือกนาปี 2552/2553 ที่รัฐบาลประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2552

แหล่งข่าวจากผู้ส่งออกข้าวกล่าวว่า ตอนนี้ผู้ส่งออกข้าวเจอปัญหา 2 ด้านที่กระทบต่อการส่งออก คือ ค่าเงินบาทแข็ง ทุก 1 บาทที่แข็งค่ามีผลกระทบต่อราคาข้าวที่สูงขึ้น 15 เหรียญสหรัฐ สำหรับข้าวสารเจ้า และ 30 เหรียญสหรัฐ สำหรับข้าวหอมมะลิ เมื่อเทียบกับราคาส่งออกของเวียดนาม ทำให้เสียเปรียบการส่งออก ค่าบาทที่เหมาะสมและแข่งขันได้คือระดับ 34-35 บาท/เหรียญสหรัฐ หากปล่อยให้แข็งค่า 32-33 บาท/เหรียญสหรัฐ การส่งออกข้าวหรือสินค้าไทยจะลำบาก และเสียตลาดให้เวียดนาม พม่า และกัมพูชาได้

"อีกเรื่องคือการประกันราคาข้าวตอนนี้เหมือนการแทงหวยไม่รู้ว่าจะเป็นบวกหรือลบ จึงเกิดความไม่นิ่งของราคาข้าว ในเดือนตุลาคมนี้ราคาน่าจะเคลื่อนไหวสูงในระดับราคาตันละ 8,500-9,000 บาท เพราะกว่าผลผลิตข้าวเปลือกนาปีจะออกสู่ตลาดก็เข้าเดือนพฤศจิกายน ส่วนกรณีจะเลื่อนประกันราคาไปปลายเดือนตุลาคม น่าจะเป็นเพราะไม่มีข้าวเข้าโครงการ" แหล่งข่าวกล่าว และว่า การชะลอการสั่งซื้อน่าจะเกิดในช่วงสั้นๆ เพราะตลาดโลกกำลังวิตกเรื่องผลผลิตเสียหายจากภัยธรรมชาติ

นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย กล่าวว่า ราคาข้าวเปลือกเฉลี่ยตันละ 8,000-9,000 บาท ยังเป็นราคาที่ชาวนารับได้ เพราะเป็นช่วงสุญญากาศผลกระทบจากการใช้โครงการประกันราคาข้าวที่จะเพิ่ม 1 ตุลาคมนี้ และความชัดเจนของปริมาณผลผลิตข้าวนาที่จะออกสู่ตลาดเดือนพฤศจิกายนนี้ว่าจะมีเท่าไหร่แน่

ทั้งนี้ ราคาประกันข้าวที่รัฐบาลประกาศออกมา ได้แก่ ข้าวขาว ราคาตันละ 1 หมื่นบาท ข้าวหอมมะลิ ราคาตันละ 1.53 หมื่นบาท ข้าวหอมจังหวัด ราคาตันละ 1.43 หมื่นบาท และข้าวเหนียว ราคาตันละ 9,500 บาท

ที่มา มติชน