นายปราโมทย์ วานิชชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย กรรมการคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เปิดเผยว่า การประชุม กขช.ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมา กขช.หารือเรื่องการเก็บเบี้ยประกันหรือค่าธรรมเนียมกับเกษตรกรที่จะเข้าโครงการประกันราคาข้าวเปลือกนาปี 2552/53 และ กขช.เห็นชอบให้มีการจัดเก็บค่าเบี้ยประกันในอัตรา 1 บาทต่อไร่ เพื่อให้เกษตรกรได้รับทราบว่าแม้รัฐบาลจะมีโครงการประกันราคาข้าว แต่เกษตรกรต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายโครงการด้วย ขณะที่อัตราที่เก็บค่าเบี้ยประกันที่จัดเก็บจากเกษตรกรนั้นก็ไม่ได้มากแต่อย่างใด แต่ระยะยาวเกษตรกรจะต้องจ่ายเบี้ยประกันความเสี่ยงเอง

นายปราโมทย์ ระบุว่า ประเมินว่าโครงการประกันราคาข้าวเปลือกนาปีในปีนี้ รัฐบาลต้องเตรียมงบประมาณเพื่อเป็นค่าชดเชยส่วนต่างให้เกษตรกรประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะการชดเชยการประกันราคาข้าวเหนียว ที่ต้องขาดทุนแน่นอน เพราะราคาตลาดอยู่ที่ 8-9 พันบาทต่อตันเท่านั้น ขณะที่ราคาประกันขั้นต่ำคาดว่าจะอยู่ที่ 1 หมื่นบาทต่อตัน ซึ่งอาจต้องใช้เงินชดเชยส่วนต่างตรงนี้ 5 พันล้านบาท

ส่วนข้าวขาว 5% ที่กำหนดราคาประกันไว้ที่ 1 หมื่นบาทต่อตันนั้น เป็นห่วงว่าหากมีกระบวนการทุบราคาข้าวของพ่อค้าส่งออก หรือสถานการณ์ราคาข้าวในตลาดโลกไม่เอื้ออำนวย เพราะเป็นช่วงที่มีข้าวออกสู่ตลาดจำนวนมาก จะส่งผลให้ราคาข้าวลดลงต่ำกว่า 550 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน หรือ 10,500 บาทต่อตันได้ ซึ่งจะทำให้ราคาข้าวเปลือกในประเทศลดลงอีก ดังนั้น อยากเห็นรัฐบาลเจรจากับผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ ให้รักษาเสถียรภาพราคาข้าวขาวส่งออกไว้ให้ไม่ต่ำกว่า 550 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน

อย่างไรก็ตาม ในส่วนข้าวหอมมะลิ และข้าวหอมจังหวัด รัฐบาลอาจไม่ต้องจ่ายชดเชยส่วนต่าง เพราะราคาข้าวหอมมะลิและข้าวหอมจังหวัด จะมีราคาเพิ่มขึ้นหรือลดลงในระดับที่ใกล้เคียงกัน ปัจจุบันราคาข้าวเปลือกหอมมะลิราคาอยู่ที่ 850-900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.5 หมื่นบาทต่อตัน

นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า กระทรวงเกษตรฯ จะเร่งประชุมคณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติด้านการผลิต เพื่อพิจารณาราคาประกันข้าวอีกครั้งในสัปดาห์หน้า ซึ่งต้องพิจารณารายละเอียดว่า สามารถลดราคาประกันลงไปได้ตามที่ กขช.ต้องการหรือไม่ หากไม่ได้ก็จะเสนอยืนตามราคาเดิม

สำหรับราคาประกันของข้าวเหนียวที่อยู่ที่ 13,400 บาทนั้น ส่วนตัวมองว่าค่อนข้างสูง และจะมีปัญหาตามมาได้ โดยเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวส่วนใหญ่จะปลูกข้าวเพื่อการบริโภคในครัวเรือน หากมีราคาประกันที่สูง เกษตรกรจะนำข้าวมาขายมากแล้วหันไปซื้อข้าวบริโภคแทน และจะขยายพื้นที่ปลูกข้าวเหนียวกันมากขึ้น

ทั้งนี้การปรับลดราคาประกันข้าวลง อาจจะลดในส่วนของกำไรเดิม กำหนดให้กำไรเกษตรกร 40% จากต้นทุนการผลิต ซึ่งอาจจะปรับลดลงมาเหลือ 10-20% ขึ้นอยู่กับอนุกรรมการ

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ