นางสาวกอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวถึงการเดินทางไปเจรจาขายข้าวเพื่อระบายสต๊อกข้าวในส่วนที่รัฐบาลเก็บไว้ 5-6 ล้านตัน ถือว่ามีความสำคัญมาก แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องยอมรับว่าราคาข้าวที่ได้รับจะต่ำกว่าราคาตลาดที่ผู้ส่งออกขายและต่ำกว่าต้นทุนการรับจำนำ เพราะการทำจีทูจีมีปัจจัยความสัมพันธ์พิเศษ (special connection) มาเกี่ยวข้องด้วย

หากรัฐบาลยอมรับจุดนี้ได้ก็สามารถขายข้าวได้ และจะไม่กระทบต่อราคาข้าวส่งออก เพราะการทำจีทูจีช่วงนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ราคาส่งออกเริ่มปรับลดลงเฉลี่ยข้าวขาว 300-400% ห่างกับเวียดนามไม่มากนัก

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ทิศทางการส่งออกข้าวใน ช่วงครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะข้าวนึ่ง ซึ่งตลาดหลักยังอยู่ที่แอฟริกา เพราะขณะนี้ปริมาณ สต๊อกข้าวนึ่งที่ลูกค้าเก็บไว้ตั้งแต่ต้นปี 2553 จากกระแสข่าวภัยธรรมชาติทำให้ประเทศต่าง ๆ เร่งนำเข้าข้าวในช่วงปลายปี 2552 จนมีสต๊อกมากเกินความต้องการนั้นจะเริ่มลดลง ดังนั้นการมีออร์เดอร์ใหม่ ๆ เข้ามาน่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ส่งออกข้าวนึ่ง

ด้าน นายชาญชัย รักษ์ธนานนท์ นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า การจัดงานมหกรรมข้าวภาคเหนือครั้งนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเชิญชวน ผู้ประกอบการโรงสีอาเซียนเข้ามา แลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกัน ก่อนที่กลุ่มผู้ประกอบการโรงสีอาเซียนจะลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อก่อตั้งสมาพันธ์โรงสีอาเซียนขึ้น ในวันที่ 11 สิงหาคม 2553 ที่กรุงเทพฯ เพื่อใช้ประโยชน์จากความตกลงเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ที่มีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา

"การทำตลาดข้าวเป็นเรื่องสำคัญ จากปัญหาภัยแล้งต้องเลื่อนระยะเวลาปลูกข้าวออกไปอีก 2 เดือน ทำให้ภาพรวมผลผลิตข้าวเปลือกนาปรังรอบแรกลดลงถึง 1 ล้านตัน ข้าวนาปีที่ผ่านมาลดลง 1 ล้านตัน และข้าวนาปรังรอบ 2 ซึ่งออกราวเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม จะลดลงเหลือ 2 ล้านตันจากคาดการณ์ไว้ ทำให้คาดว่าทั้งปีข้าวจะลดลง 4-5 ล้านตันข้าวเปลือก ส่งผลให้ปริมาณข้าวทั้งปีอยู่ที่ 28 ล้านตัน หรือต่ำกว่า ที่คาดการณ์ไว้ 32 ล้านตัน" นายชาญชัยกล่าว

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ