นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายกับชาวนาว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) กำหนดให้วันที่ 5 มิ.ย.ของทุกปีเป็นวันชาวนาและข้าวแห่งชาติ ถือได้ว่าเป็นการยอมรับความสำคัญเป็นอย่างยิ่งของชาวนาและข้าว ไม่ใช่ในแง่ของการพัฒนาประเทศแต่เป็นในแง่ของการดูแลความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยและชาวโลกส่วนหนึ่ง ถือว่าเรื่องของข้าวกับเรื่องของประเทศไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความผูกพันมาช้านาน

ทั้งนี้นโยบายของรัฐบาลพยายามสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรภายใต้นโยบายของการดูแลตลาดข้าวและสินค้าเกษตร อาทิ โครงการประกันรายได้เกษตรกรที่ดีกว่ามาตรการแทรกแซงด้วยการรับจำนำ ที่ดำเนินการในรอบที่สองแล้ว ซึ่งแนวทางนั้นเกษตรกรก็คงทราบอยู่แล้ว ซึ่งยืนยันว่ารัฐบาลมีนโยบายและมาตรการที่สามารถช่วยเกษตรกรได้ทุกรายทั่วถึงและเงินงบประมาณถึงมือเกษตรกรโดยตรง ไม่กระทบกลไกตลาดซึ่งทำให้โอกาสของข้าวไทยมีความยั่งยืน ในเรื่องของหลักเกณฑ์ราคา ปริมาณที่ให้ก็จะมีการปรับเปลี่ยนในอนาคตเพราะอาจจะไม่ตรงกับความต้องการในทุกพื้นที่

แหล่งข่าวกล่าวว่า ตามที่เกิดปัญหาราคาข้าวตกต่ำ และเกษตรกรจังหวัดต่างๆ ชุมนุมเรียกร้องขอให้รัฐบาลช่วยเหลือ เนื่องจากไม่สามารถจำหน่ายข้าวเปลือกให้กับโรงสีได้ตามเกณฑ์กลางอ้างอิงที่กำหนด และขอให้ได้รับอัตราชดเชยที่สอดรับกับราคาข้าวเปลือกที่เกษตรกรจำหน่ายได้นั้น ทางกระทรวงพาณิชย์จึงได้ออกประกาศกำหนดแนวทางการช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำให้เกษตรกรได้ทราบ 3 มาตรการ ได้แก่ 1.การชดเชยประกันรายได้ สำหรับเกษตรกรที่จำหน่ายข้าวในช่วงเกณฑ์กลางอ้างอิงมีราคาสูงไม่สอดรับกับราคาที่ขายได้ จะได้รับสิทธิ์ในการได้รับชดเชยส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับเกณฑ์อ้างอิงในอัตราที่เหมาะสม 2.การตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกร ซึ่งองค์การคลังสินค้า หรือ อคส. และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร หรือ อ.ต.ก. เร่งเปิดจุดรับจำนำข้าวเปลือก และให้โรงสีที่เข้าร่วมโครงการสีแปรสภาพข้าวเปลือกที่รับซื้อไว้ตั้งแต่ปริมาณ 1,000 ตันขึ้นไป โดยจะให้แปรสภาพในอัตรา 30% และส่งมอบเข้าโกดังกลางที่ อคส. และ อ.ต.ก.จัดหาเพื่อรองรับผลผลิตของเกษตรกรที่ออกสู่ตลาดได้เพิ่มขึ้น และ 3.มาตรการให้โรงสีรับซื้อข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2553 และนำมาสีแปรสภาพเป็นข้าวสารใหม่แลกข้าวสารเก่าในสต็อกของรัฐบาล

โดยโรงสีที่เข้าร่วมโครงการจะต้องซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรที่กำลังออกสู่ตลาดในช่วงเดือน พ.ค.-ก.ค. ตามเกณฑ์ราคากลางอ้างอิงที่กระทรวงพาณิชย์ประกาศในแต่ละช่วงเวลา บวกเพิ่มอีก 300 บาท/ตัน เพื่อผลักดันให้มีการแข่งขันรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในราคาที่สูงขึ้น จึงขอแจ้งให้เกษตรกรจังหวัดสุโขทัยได้รับทราบ และทำความเข้าใจกับมาตรการที่รัฐบาลได้กำหนด ขณะนี้ได้เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือย่างเร่งด่วนแล้วทุกมาตรการ

ที่มา บ้านเมืองออนไลน์