นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังประชุมร่วมกับผู้ประกอบการโรงสีและผู้ส่งออกข้าวไทย เพื่อแก้ไขปัญหาราคาข้าวในตลาดตกต่ำ ว่า ที่ประชุมได้ข้อสรุปถึงมาตรการในการพยุงราคาข้าวในตลาด โดยจะให้ผู้ประกอบการโรงสีและผู้ส่งออก ไปรับซื้อข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2553 จากเกษตรกรที่ขณะนี้เหลืออยู่ประมาณ 1.8 ล้านตันข้าวเปลือก ในราคานำตลาด ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าสามารถนำข้าวใหม่มาแลกข้าวเก่า ในสต็อกรัฐบาลได้ โดยกระทรวงจะพิจารณาว่าหากโรงสีรายใด มีการซื้อในราคานำตลาดมาก จะให้นำข้าวใหม่มาแลกข้าวเก่าในอัตรา 1 ต่อ 1 แต่หากซื้อในราคานำตลาดน้อย ก็จะลดสัดส่วนการแลกข้าวต่ำมา

“มาตรการดังกล่าวในที่ประชุมเห็นด้วย คาดว่าหากมีการซื้อราคานำตลาดประมาณ 8 แสนตันข้าวเปลือก และมีการนำข้าวสารใหม่แลกกับข้าวเก่า 2 แสนตัน จะช่วยดึงราคาข้าวในตลาดให้ปรับตัวสูงขึ้นมาได้” นางพรทิวา กล่าว

นางพรทิวา กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวจะมีการเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบในเร็วๆ นี้ ซึ่งหาก กขช.อนุมัติ จะสามารถเริ่มมาตรการพยุงราคาข้าวได้ทันที

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ก่อนหน้านี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียม 2 มาตรการที่เกี่ยวกับโรงสีและผู้ส่งออกในการแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำ โดยในส่วนของมาตรการเกี่ยวกับการส่งออก ซึ่งจะให้ผู้ส่งออกที่ส่งออกข้าวภายใต้ราคาที่รัฐบาลกำหนด สามารถได้สิทธินำข้าวเก่ามาแลกข้าวใหม่ในสต็อกรัฐบาลนั้น ได้ยกเลิกแนวคิดนี้ไป เนื่องจากเกรงว่าอาจขัดต่อระเบียบขององค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) ที่ไม่อนุญาตให้รัฐบาลให้การสนับสนุนการส่งออกโดยตรง ยกเว้นการให้การช่วยเหลือเกษตรกรเท่านั้น และการให้ความช่วยเหลือผู้ส่งออกทั้งรายเล็กและรายใหญ่ให้ได้ประโยชน์อย่างเท่าเทียมกันด้วย

อย่างไรก็ตาม มีการตั้งข้อสังเกตถึงแนวทางการยกระดับราคาข้าวของกระทรวงพาณิชย์ว่าเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการบางกลุ่มที่มีสต็อกข้าวราคาสูงไว้ก่อนหน้านี้ จะสามารถดึงเอาข้าวจากสต็อกเก่าของรัฐบาลออกไปผสม เพื่อลดต้นทุน หรือนำไปหมุนเวียนขายในประเทศ เพราะข้าวเก่าเป็นข้าวที่นิยมบริโภคในประเทศมากกว่า จนอาจจะเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่และรายเล็กได้

นางกอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยกล่าวว่า การหมุนเวียนการซื้อขายในตลาดภายใน อาจช่วยให้ราคาข้าวเพิ่มขึ้นได้ระดับหนึ่ง แต่จะช่วยให้ผู้ซื้อในต่างประเทศเข้ามาซื้อเพิ่มขึ้นได้หรือไม่ ต้องพิจารณาเชิงลึกอีกครั้ง

ทั้งนี้การจูงใจให้ผู้ส่งออก-โรงสีเข้าร่วมโครงการหรือไม่ ต้องดูรายละเอียดการปฏิบัติจริงว่า การแลกข้าวเก่าของรัฐ จะเป็นประโยชน์ต่อบุคคลใดบ้าง เบื้องต้นสถานการณ์การซื้อขายข้าวตลาดต่างประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นกลุ่มผู้ซื้อที่ไม่แน่ใจ เรื่องราคาว่าจะลดต่ำลงไปอีกหรือไม่ แต่หากสถานการณ์มีความมั่นคงก็เชื่อว่ากลุ่มนี้อาจกลับเข้ามาซื้อ แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่ง เช่น ตลาดแอฟริกาที่ขณะนี้ผลผลิตพืชไร่ได้ผลดี ตลาดส่วนนี้อาจไม่จำเป็นต้องซื้อข้าวเพิ่ม

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ