นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า จากการที่จีนมีการจัดงานเวิลด์เอ็กซ์โปต่อเนื่องกันหลายเดือน ส่งผลให้มีความต้องการนำเข้าข้าวเหนียวจำนวนมาก เพื่อผลิตสุราจำหน่าย ส่งผลให้ราคาข้าวเหนียวในประเทศไทย ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉลี่ยขณะนี้ประมาณตันละ 14,500-16,500 บาท สูงกว่าราคาข้าวหอมมะลิ ที่มีราคาประมาณตันละ 13,000-14,500 บาท
ทั้งนี้จากสถานการณ์ราคาดังกล่าวมีความเป็นไปได้ ที่ชาวนาจะหันไปปลูกข้าวเหนียวมากขึ้น แทนการปลูกข้าวหอมมะลิในฤดูกาลผลิตปี 2553/2554 และทำให้ผลผลิตข้าวหอมมะลิลดลงในปีหน้า ซึ่งเกษตรกรที่จะหันมาปลูกข้าวเหนียวต้องตัดสินใจให้รอบคอบ เพราะเกรงว่าราคาที่พุ่งสูงขึ้นจะไม่มีเสถียรภาพ และเป็นไปได้ที่ราคาจะลดต่ำลงในเร็วๆ นี้ เมื่อความต้องการในจีนลดลงประกอบกับการผลิตข้าวเหนียวของไทย ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อการบริโภค เหลือขายเป็นส่วนน้อย การผลิตเพิ่มขึ้นจำนวนมาก จะส่งผลให้ราคาตกต่ำได้
อย่างไรก็ตามราคาข้าวเหนียวที่ปรับเพิ่มขึ้นดังกล่าว เป็นโอกาสของรัฐบาลในการระบายข้าวเหนียวในสต็อก ที่จะไม่มีผลกระทบกับเกษตรกรเพราะไม่มีผลผลิตข้าวอยู่ในมือแล้ว
"สต็อกข้าวของรัฐบาลจะเป็นอุปสรรคต่อราคาข้าวในปีหน้ามาก เนื่องจากประเทศผู้นำเข้าข้าวส่วนใหญ่ รู้ปริมาณข้าวในสต็อก และจะมีการเก็งช่วงเวลารับซื้อข้าวของไทย เมื่อราคาข้าวเริ่มสูงขึ้น และเป็นช่วงต้นฤดูกาลผลิตข้าวของไทย รัฐบาลควรหาช่องทางระบายสต็อกบางส่วน เพื่อลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า" นายอภิชาต กล่าว
สำหรับสถานการณ์ข้าวในขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้ประกาศให้ปลูกข้าวนาปี 2553/2554 อย่างเป็นทางการแล้ว ตั้งแต่วันที่ 3 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งล่าช้าไปเล็กน้อยต่อการปลูกข้าวไวแสง เช่นข้าวหอมมะลิ ข้าว กข.6 ที่การออกรวงจะไม่ทันต่อช่วงแสง จะเป็นผลให้รวงข้าวลีบ ผลผลิตต่อไร่จะต่ำลง โดยเฉพาะในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีพื้นที่การผลิตข้าวนาปีมากที่สุด ดังนั้น สศก.จะออกสำรวจพื้นที่ปลูกอีกครั้ง เพื่อประเมินผลผลิตที่จะออกสู่ตลาดในปีหน้า
อย่างไรก็ตามเบื้องต้นคาดว่าผลผลิตข้าวจะเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก เนื่องจากเกษตรกรบางส่วน เร่งดำเนินการไปก่อนแล้ว คาดว่าจะข้าวนาปี 2553/2554 จะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือ 23 ล้านตันข้าวเปลือก
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ |