นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.วานนี้ (7 เม.ย.) มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่ปลูกข้าว ในโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/2553 รอบที่ 2 (ข้าวนาปรัง) ในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง จากเดิมที่สิ้นสุด ในวันที่ 20 มี.ค. 2553 ให้ขยายเวลาออกไปจนถึงวันที่ 15 เม.ย. 2553 เนื่องจากมีเกษตรกรบางส่วนติดภารกิจ ไม่สามารถมาขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวรอบ 2 ได้ทัน ตามระยะเวลาที่กำหนด ขณะที่มีเกษตรกรบางส่วนปลูกข้าวรอบที่ 2 หลังวันที่ 20 มี.ค. 2553 ที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน ทำให้เกษตรกรทั้งสองกลุ่มนี้ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้
กรมส่งเสริมการเกษตรรายงานความคืบหน้า การขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ในภาพรวมทั่วประเทศรวม 62 จังหวัด ซึ่งสรุปยอดในวันที่ 3 เม.ย. 2553 พบว่ามีเกษตรกรมีขึ้นทะเบียนแล้ว 7.83 แสนครัวเรือน คิดเป็น 171.83% ของฐานข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรปี 2551/2552 หรือมีเกษตรกรขึ้นทะเบียน 4.56 แสนครัวเรือน รวมพื้นที่ 15.76 ล้านไร่ โดยมีการทำประชาคมเกษตรกร และส่งข้อมูลให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แล้ว 6.83 หมื่นครัวเรือน รวมพื้นที่ 13.93 ล้านไร่
นายศุภชัย กล่าวว่า ครม.เห็นชอบการลงนามร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องข้าว ระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน ซึ่งก่อนหน้านี้ ครม.ได้มีมติเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2553 มีมติมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามบันทึกความเข้าใจฉบับนี้กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมฟิลิปปินส์ แต่ต้องมีการเสนอร่างบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบก่อน แต่ ครม.ได้มีมติให้กระทรวงพาณิชย์ลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ได้ โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา เนื่องจากร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน ซึ่งรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบไปแล้วในคราวประชุมร่วมของรัฐสภา จึงไม่ต้องเสนอให้รัฐสภาให้ความเห็นชอบอีก
รายงานข่าวระบุว่า ร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องข้าวระหว่างไทยฟิลิปปินส์ กำหนดให้ฟิลิปปินส์เปิดตลาดนำเข้าข้าวให้ไทยจำนวน 3.67 แสนตัน หรือเป็นปริมาณที่เท่ากับปริมาณการนำเข้าข้าว จากไทยเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี และภายใต้ปริมาณข้าวที่ฟิลิปปินส์ต้องนำเข้าจากไทย 3.67 แสนตันนั้น ฟิลิปปินส์ต้องให้ความสำคัญกับการนำเข้าข้าวคุณภาพดี จากไทยจำนวน 5 หมื่นตัน
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
|