นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวถึงข้อเสนอของภาคเอกชนในการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ข้าวร่วมกัน โดยระบุว่า รัฐบาลจะรับแผนดังกล่าวมาปรับปรุงการดำเนินงานของรัฐบาล พร้อมยอมรับว่านโยบายช่วยเหลือเกษตรกรด้านราคาข้าวของทุกรัฐบาล ที่มีการรับซื้อข้าวจากชาวนาในราคาสูงทำให้เกิดการบิดเบือนกลไกตลาด และส่งผลกระทบต่อราคาส่งออกข้าวของไทย ซึ่งตนเองได้พยายามแก้ไขปัญหา ด้วยการโรดโชว์ในต่างประเทศเพื่อเชิญชวนให้ต่างชาติซื้อข้าวไทย
       
โดยขณะนี้ประเทศไนจีเรีย สนใจซื้อข้าวจากไทย 6.5 แสนตัน และเซเนกัลอีก 5 แสนตัน ซึ่งจะมีการส่งตัวแทนมาเจรจาซื้อข้าวจากไทยต่อไป ทั้งนี้ ยืนยันว่าสต็อกข้าวของไทยยังมีเพียงพอ และรัฐบาลจะเร่งระบายข้าวในสต็อกเก่าที่มีอยู่ ก่อนที่จะมีข้าวล็อตใหม่ออกสู่ตลาดในต้นเดือนธันวาคมนี้ และเชื่อมั่นว่าราคาข้าวของไทยขณะนี้ไม่ตกต่ำอย่างแน่นอน และเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่รัฐบาลดำเนินการระบายข้าวอย่างต่อเนื่องแต่ไม่ทำให้ราคาตกต่ำ
       
ส่วนกรณีที่ บริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด ซึ่งเป็นตัวแทนรัฐวิสาหกิจจากประเทศจีน และประมูลซื้อข้าวจากรัฐบาลจำนวน 1.5 ล้านตัน แต่เสนอขอขยายระยะเวลาการรับมอบข้าวนั้น นายไตรรงค์ กล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่ทราบเรื่อง และอยู่ในขั้นตอนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ ส่วนข้อกล่าวหาความไม่โปร่งใสในการประมูลนั้น ในเรื่องนี้ผู้เกี่ยวข้องจะต้องชี้แจงให้ได้ และจะต้องมีการรายงานต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
       
รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า วันนี้ กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดพิธีมอบวุฒิบัตรแก่ผู้สำเร็จหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการค้าและการพาณิชย์รุ่นที่ 3 โดยผู้เข้าร่วมหลักสูตรได้เสนอแผนยุทธศาสตร์ข้าวไทย แก่รัฐบาลให้ดำเนินการ โดยสรุปว่า แผนดังกล่าวเสนอให้จัดตั้งคณะกรรมการบริหารยุทธศาสตร์ข้าวไทย โดยมีผู้เชี่ยวชาญทุกด้านเข้าร่วม แต่ต้องปลอดจากการแทรกแซงทางการเมือง เพื่อให้การบริหารเป็นไปอย่างอิสระและคำนึงถึงประสิทธิภาพอย่างแท้จริง โดยผู้เข้าร่วมหลักสูตรเห็นว่า ที่ผ่านมาการบริหารสถานะราคาข้าวของไทยโดยรัฐบาล ทั้งการแทรกแซงราคาหรือประกันราคาข้าว เน้นเรื่องการช่วยเหลือด้านการเงินเท่านั้น ไม่ได้ยกระดับเรื่องประสิทธิภาพการผลิต ทำให้การผลิตข้าวของไทยยังอ่อนแอและได้รับผลกระทบมาโดยตลอด
       
ทั้งนี้ ในยุทธศาสตร์ข้าวได้เสนอให้คณะกรรมการบริหารข้าว มาดูการบริหารข้าวทั้งระบบ และการทำนาให้มีการรวมพื้นที่เป็นขนาดใหญ่ นำระบบการบริหารและจัดการที่มีประสิทธิภาพมาใช้เพื่อยกระดับการผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น สามารถแข่งขันในต่างประเทศได้ และสร้างรายได้แก่ชาวนาไทย ซึ่งรูปแบบนี้จะทำให้สามารถลดพื้นที่การปลูกข้าวจาก 60 ล้านไร่ เหลือ 28-30 ล้านไร่ได้ในอนาคต และพื้นที่ที่เหลือสามารถนำไปปลูกพืชประเภทอื่น เพื่อสร้างรายได้ ขณะเดียวกันประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ก็จะทำให้จำนวนเกษตรกรต่อครอบครัวที่ปลูกข้าวลดลง สมาชิกสามารถไปทำอาชีพอื่นเพื่อสร้างรายได้ที่สูงขึ้น

ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์