น.ส.กอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ขณะนี้การส่งออกข้าวยังไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมืองในประเทศ ตราบใดที่ยังไม่มีการปิดท่าเรือ โดยผลกระทบส่วนใหญ่มาจากปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น รวมถึงคู่ค้าในต่างประเทศชะลอการสั่งซื้อข้าว โดยเฉพาะประเทศในทวีปแอฟริกาที่มีผลผลิตข้าวดีขึ้น รวมถึงราคาข้าวสาลีตกต่ำ ทำให้ราคาส่งออกข้าวขาวปรับตัวลดลงเหลือเพียงตันละ 450 เหรียญสหรัฐ โดยสมาคมฯยังคงเป้าหมายการส่งออกปีนี้ที่ 9 ล้านตัน แต่จะมีการทบทวนเป้าหมายการส่งออกอีกครั้งในกลางปีนี้
ด้านนายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์(พณ.) กล่าวว่า วันที่ 12-18 เมษายน และวันที่ 19-25 เมษายน อยู่ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และเป็นวันหยุดยาว เกรงว่าเกษตรกรอาจจะขายข้าวเปลือกได้ราคาไม่ดี คณะอนุกรรมการกำหนดเกณฑ์การอ้างอิงในการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว เพื่อประกาศราคาอ้างอิงสำหรับข้าวเปลือกชนิดต่างๆที่ความชื้นไม่เกิน 15% ใช้ชดเชยส่วนต่างระหว่างเกณฑ์ราคาอ้างอิงกับราคาประกันรายได้ จึงรวมราคาข้าวอ้างอิงใน 2 งวดดังกล่าวมาเป็นงวดเดียว เพื่อให้เกษตรกรขายข้าวได้ใกล้เคียงกับราคาตลาดมากที่สุด
ทั้งนี้ ราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงและอัตราชดเชยดังกล่าว คือ ข้าวเปลือกเจ้า ตันละ 9,142 บาท อัตราชดเชยตันละ 858 บาท ข้าวเปลือกปทุมธานี ตันละ 10,433 บาท ไม่ต้องชดเชยในงวดที่ 1 แต่งวดที่ 2 ชดเชยตันละ 567 บาท และข้าวเปลือกเหนียว ตันละ 11,094 บาท ไม่ต้องชดเชย
นายยรรยง กล่าวอีกว่า เกษตรกรสามารถนำข้าวมาขายตามจุดตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวของรัฐบาลที่มี 85 จุด ใน 22 จังหวัด โดยขณะนี้ราคาข้าวเจ้าในตลาดอยู่ที่ตันละ 8,700-8,800 บาท ถ้านำมาขายที่จุดรับซื้อในขณะนี้เกษตรกรจะได้ราคาสูงกว่าราคาตลาด 300-400 บาท
อย่างไรก็ตามยังได้รับการร้องเรียนจากเกษตรกรว่าโรงสีที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการในบางพื้นที่ยังมีพฤติกรรมรับซื้อข้าวเปลือกจากเกษตรกรค่อนข้างต่ำ ซึ่งได้กำชับพาณิชย์จังหวัดให้ช่วยดูแลเกษตรกรในพื้นที่ที่มีปัญหาแล้ว
ที่มา แนวหน้า
|