นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เห็นชอบมาตรการบังคับให้เกษตรกรปลูกข้าวในพื้นที่ 22 จังหวัด ในเขตพื้นที่ชลประทานได้เพียง 2 ครั้งต่อปี พื้นที่ 9.5 ล้านไร่ คาดจะมีเกษตรกรเข้าร่วม 9 ล้านไร่ เพื่อลดการใช้น้ำปีละ 1,200-1,500 ล้านลูกบาศก์เมตร และตัดวงจรการระบาดของศัตรูพืช

“ต้องจัดระบบให้ปลูกข้าวปีละไม่เกิน 2 ครั้ง ลดการใช้น้ำ ตัดวงจรการระบาดศัตรูข้าว เช่น เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพื่อรักษาระบบนิเวศน์ในนาข้าว การปลูกข้าวระบบใหม่ช่วยลดต้นทุนการปลูกข้าว เหลือ 5.72 พันล้านบาทต่อตัน” นายไตรรงค์ กล่าวและว่า โครงการนี้มีระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2554-2556 โดยจะทยอยดำเนินการปีละ 3 ล้านไร่

นายไตรรงค์ กล่าวว่า เพื่อจูงใจให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการนี้ กขช.จะเสนอ ครม. ขออนุมัติงบปี 2554-2556 วงเงิน 2.18 พันล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายใน การจัดหาเมล็ดพันธุ์พืชหลังนาและพืชปุ๋ยสด เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวโพดหวาน ข้าวโพดฝักอ่อน และปุ๋ยพืชสด วงเงิน 1.71 พันล้านบาท และค่าบริหารโครงการ 470.36 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะจัดหาตลาดเพื่อรองรับพืชต่างๆ

นายไตรรงค์ กล่าวว่า กขช.เห็นชอบหลักเกณฑ์การดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรปลูกข้าวปี 2553/2554 รอบที่ 1 กำหนดให้เกษตรกรขึ้นทะเบียนได้ตั้งแต่ 1 มิ.ย.-30 พ.ย.2553

นอกจากนี้ กขช.ยังอนุมัติงบ 12 ล้านบาท เพื่อชดเชยส่วนต่างรายได้เกษตรกร หลังมีข่าวว่ารัฐบาลจะระบายข้าวสารในสต็อก 2 ล้านตัน ทำให้ราคาตกต่ำ ดังนี้ข้าวเปลือกเจ้าที่เกษตรกรขายระหว่างวันที่ 8-14 ก.พ.จะได้เงินส่วนต่างเพิ่ม 67 บาทต่อตัน ข้าวที่ขายระหว่างวันที่ 15-21 ก.พ.จะได้เงินส่วนต่างอีก 338 บาทต่อตัน ข้าวที่ขายระหว่างวันที่ 22-28 ก.พ.จะได้เงินส่วนต่าง 835 บาทต่อตัน

ส่วนข้าวเปลือกหอมมะลิ เกษตรกรขายระหว่างวันที่ 8-14 ก.พ.จะได้เงินส่วนต่าง 111 บาทต่อตัน ข้าวที่ขายระหว่างวันที่ 15-21 ก.พ.จะได้เงินส่วนอีก 200 บาทต่อตัน ข้าวที่ขายระหว่างวันที่ 22-28 ก.พ.จะได้เงินส่วนต่าง 403 บาทต่อตัน

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ