แหล่งข่าวในทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" เกี่ยวกับแผนระบายข้าวสารในสต๊อกรัฐบาล หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี มีนโยบายให้เร่งรัดการระบายก่อนผลผลิตข้าวนาปีจะออกสู่ตลาด โดยลดขั้นตอนคือให้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการระบายข้าวดำเนินการและเสนอขอความเห็นชอบเพียงคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)ไม่ต้องผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขณะที่อีกด้านหนึ่งนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา 7 คน ซึ่งล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญสินค้าข้าว เพื่อติดตามสถานการณ์และวางแผนการตลาดข้าวคู่ขนานไปกับการดำเนินงานระบายข้าวของกระทรวงพาณิชย์
 
ทั้งนี้คณะทำงานทั้ง 7 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งโดยรองนายกรัฐมนตรีให้มาติดตามสถานการณ์และวางแผนตลาดข้าวคู่ขนานไปกับการดำเนินงานของกระทรวงพาณิชย์ ประกอบด้วยนายนิพนธ์ วงษ์ตระหง่าน ดร.ชัยพัฒน์ สหัสกุล ดร.อำพน กิตติอำพน นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ  นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ นายอำนวย ปะติเสและนายปราโมทย์ วานิชานนท์
 
"ก่อนหน้านี้จะให้คณะทำงานทั้ง 7 คน กำหนดเกณฑ์ และราคาที่จะระบาย เพื่อให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามที่คณะทำงานทั้ง 7 คน กำหนด แต่เพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาล จึงมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการระบายข้าวดำเนินการทั้งหมด แต่คณะทำงานทั้ง 7 จะทำงานเรื่องข้าวคู่ขนานไปด้วย"
 
แหล่งข่าวกล่าวว่าจากการติดตามสต๊อกข้าวโดยกขช.พบว่าข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลที่จะระบายออกต่างประเทศได้มีเพียงประมาณ 2-2.5 ล้านตันเท่านั้น ไม่ใช่ 5-6 ล้านตัน อย่างที่หลายฝ่ายเข้าใจ ทั้งนี้เนื่องจากข้าวสารในสต๊อกทั้งหมดมีอยู่ประมาณ 5.6 ล้านตัน แต่ในจำนวนนี้แยกเป็นข้าวขาวประมาณ 4.5 ล้านตัน ข้าวหอมปทุมธานี 650,000 ตัน ข้าวหอมจังหวัด 78,000 ตัน ข้าวเหนียว 15,600 ตัน โดยข้าวหอมปทุมธานี ข้าวหอมจังหวัด และข้าวเหนียวไม่ต้องระบายออกเพราะเป็นข้าวเก่าที่คนในประเทศนิยมบริโภค จะมีเพียงข้าวขาวเท่านั้นที่จำหน่ายได้ แต่ในจำนวนข้าวขาว 4.5 ล้านตัน เห็นควรเก็บเป็นสต๊อกสำรองประมาณ 2-2.5 ล้านตันเพราะสถานการณ์ภัยแล้งขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะรุนแรงเพียงใด แต่มีความจำเป็นต้องเก็บสต๊อกไว้  เพราะฉะนั้นจะเหลือข้าวสต๊อกรัฐบาลที่ควรระบายออกประมาณ 2 ล้านตันเศษ
 
"ข้าวสาร 2 ล้านตันเศษไม่ถือเป็นภาระมาก เพราะมีวิธีการระบายหลายรูปแบบ อาทิผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ขายรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี)ขายให้กับผู้ส่งออก และเปิดประมูลทั่วไป การที่อิรักติดต่อต้องการนำเข้าข้าวเดือนละ 100,000 ตัน ทยอยส่งมอบ 2 ปี รวมแล้ว 24 ล้านตัน ออร์เดอร์อิรักครั้งนี้หากไม่ได้เต็มจำนวนอย่างน้อยต้องได้มาส่วนหนึ่ง จึงเหลือสต๊อกข้าวที่จะระบายน้อยมาก โดยการขายจีทูจีรัฐบาลอาจยอมขายขาดทุนหากขายแล้วสามารถยกระดับราคาข้าวภายในให้สูงขึ้น" แหล่งข่าวกล่าวและว่าคณะทำงานทั้ง 7 คน ไม่เพียงทำงานคู่ขนานกับกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น ยังมองไกลไปถึงการวางแผนตลาดข้าวในอนาคตข้างหน้าด้วย

ที่มา ฐานเศรษฐกิจ