นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ว่า ที่ประชุมอนุมัติงบประมาณจำนวน 436.8 ล้านบาท สำหรับการเยียวยาเกษตรกรจำนวน 2 แสนราย ที่ขาดทุนจากการเข้าร่วมโครงการประกันรายได้ในช่วงระหว่างวันที่ 15 มี.ค.-25 เม.ย. เนื่องจากขายข้าวได้ไม่ถึงตันละ 10,000 บาท ตามที่รัฐบาลประกาศ
ก่อนหน้านี้ การกำหนดสูตรราคาการคำนวณราคาอ้างอิง ไม่สอดคล้องกับราคาตลาด เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการมีรายได้ไม่ถึงตันละ 10,000 บาท ไม่บรรลุผลตามเป้าหมาย ซึ่งขณะนี้ ได้เปลี่ยนแปลงสูตรราคาอ้างอิงใหม่ โดยนำราคาซื้อขายจริงในตลาดย้อนหลังเพียง 7 วัน ทำให้สอดคล้องกับราคาตลาดมากยิ่งขึ้น และราคาตลาดปรับสูงขึ้นตันละ 600 บาท และเชื่อว่าจากนี้ไป จะไม่มีปัญหาจนทำให้เกษตรกรต้องออกมาปิดถนนร้องเรียนอีกแต่อย่างใด
จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ในช่วง 15 มี.ค.-25 เม.ย. มีเกษตรกรจำนวน 2 แสนราย มีปริมาณข้าว 1,920,888 ตัน เข้ามาใช้สิทธิในโครงการประกันรายได้ ในช่วงที่รัฐบาลใช้สูตรคำนวณราคาอ้างอิงแบบเดิม ที่ไม่สอดคล้องราคาตลาด
ส่วนหลักเกณฑ์การเยียวยาเกษตรกรที่นำข้าว มาเข้าโครงการประกันรายได้ มีดังนี้ 1. ข้าวเปลือกเจ้า เกษตรกรที่ขายข้าวในช่วงวันที่ 15-21 มี.ค. จะได้รับการชดเชยเพิ่มขึ้นอีกตันละ 25 บาท ส่วนเกษตรกรที่ขายข้าวในช่วง 22-28 มี.ค. ได้รับการชดเชยเพิ่มขึ้นอีกตันละ 154 บาท วันที่ 29 มี.ค.-4 เม.ย. ได้รับชดเชยตันละ 43 บาท ส่วนวันที่ 5-11 เม.ย. ได้รับการชดเชยเพิ่มขึ้นอีกตันละ 327 บาท ขณะที่วันที่ 12-25 เม.ย. ได้รับการชดเชยตันละ 675 บาท 2. ข้าวเปลือกปทุมธานี ได้รับการชดเชยใน 3 ช่วง คือ วันที่ 15-21 มี.ค.จำนวน 147 บาทต่อตัน วันที่ 5-11 เม.ย. 167 บาท และวันที่ 12-25 เม.ย.ได้รับชดเชย 646 บาท
นายไตรรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กขช.ยังเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงพาณิชย์ ที่จะนำข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล ซึ่งเป็นข้าวเปลือกนาปรังปี 2552 และเป็นข้าวใหม่อายุประมาณ 1 ปี จำนวน 60,000 ตัน มูลค่าข้าวสารประมาณ 780 ล้านบาท มาบรรจุถุง 60 ล้านถุง ถุงละ 1 กก. เพื่อแจกจ่ายให้กับคนยากจน ในกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลบรมราชาภิเษกครบรอบ 60 ปี และในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ทั้งนี้ กขช. มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ไปตั้งคณะกรรมการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อกำหนดรายละเอียดและวิธีการเพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนที่ยากจนภายใน 2 สัปดาห์ โดยให้ระบุข้างถุงว่า "โครงการแจกข้าวถุงดำเนินการ โดยนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"
นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า คณะกรรมการกองทุนปรับโครงสร้างการผลิตภาคเกษตร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ หรือกองทุนเอฟทีเอ อยู่ระหว่างการจัดสรรงบประมาณ 131 ล้านบาท เพื่อปล่อยกู้ให้กับกรมการข้าว ในการจัดทำโครงการเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวและสร้างความเข้มแข็งให้ชาวนา เพื่อรองรับผลกระทบจากการเปิดเสรีการค้าอาเซียน หรืออาฟตา รวมทั้งสิ้น 3 ปีตั้งแต่ เม.ย. 2553-เม.ย. 2555 เพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพการผลิตแข่งกับเวียดนาม
โครงการดังกล่าวจะเป็นต้นแบบ สำหรับการพัฒนาการผลิตข้าวและชาวนาอย่างครบวงจร ตลอดห่วงโซ่อาหารในระดับชุมชนให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเอง ทั้งด้านการผลิตเมล็ดพันธุ์ การลดต้นทุนการผลิตข้าว การเพิ่มคุณภาพข้าวเปลือก และต่อยอดการเพิ่มมูลค่าข้าว โดยเน้นการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองท้องถิ่น
นายธีระ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทย มีเกษตรกรที่มีอาชีพทำนากว่า 3.7 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็น 64% ของเกษตรกรทั่วประเทศ ผลิตข้าวส่งออกอันดับหนึ่งของโลก มีคู่แข่ง เช่น เวียดนาม สหรัฐ อินเดีย และปากีสถาน แต่ผลผลิตเฉลี่ยข้าวของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เฉลี่ยเพียง 453 กิโลกรัมต่อไร่ ขณะที่ผลผลิตอาเซียนเฉลี่ยสูงถึง 638 กิโลกรัมต่อไร่
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
|