นายปราโมทย์ วานิชานนท์ กรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) วาระพิเศษ ที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน วานนี้ (13 ม.ค.) นายกฯได้หยิบยกประเด็นเกี่ยวกับแนวทางการระบายข้าว ในสต็อกของรัฐที่มีอยู่ทั้งสิ้น 6 ล้านตัน และขอฟังความเห็นจากกรรมการ กขช. ว่าควรระบายข้าวในลักษณะใด

กรรมการมีความเห็นว่า การระบายข้าวมีด้วยกัน 3 แบบ ได้แก่ วิธีการที่ 1.การระบายข้าวแบบจีทูจี ซึ่งวิธีนี้ กขช. เห็นว่าเป็นเรื่องยาก เพราะขณะนี้ราคาข้าวในตลาดโลกมีความผันผวนมาก ขณะที่ผู้สั่งซื้อต้องการรอดูสถานการณ์ในตลาด

วิธีการที่ 2 การระบายข้าวสารในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือเอเฟท เดือนละ 3 แสนตัน ซึ่งวิธีการนี้กรรมการส่วนใหญ่เห็นด้วย เพราะเป็นการทยอยระบายข้าวและไม่มีผลกระทบต่อราคาตลาด ขณะที่ราคาข้าวอยู่ที่ 17.50 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 17,500 บาทต่อตัน

ส่วนวิธีที่ 3 คือ ให้กระทรวงพาณิชย์เปิดประมูลให้เอกชนในประเทศเพื่อส่งออก แต่กรรมการเห็นว่าวิธีนี้ จะทำให้ราคาข้าวลดลง เพราะเท่าที่ทราบในวันที่ 14 ม.ค. นี้ กระทรวงพาณิชย์จะเปิดประมูลข้าวสาร 3 แสนตัน เพียงแค่มีข่าวเท่านั้นราคาในตลาดได้ลดลงทันที 700-800 บาทต่อตัน และมีข่าววงในมาว่าราคาที่ประมูลซื้อจะอยู่ที่ระหว่าง 15,000-16,000 บาทต่อตันเท่านั้น หากมีการประมูลราคานี้จริง รัฐบาลจะขายข้าวราคาถูกกว่าตลาด 2 พันบาทและจะทำให้ผู้ซื้อจากต่างประเทศกดราคาได้ เพราะทราบต้นทุนประมูล ทำให้ราคาตลาดโลกลดลงอีก

“กรรมการ กขช.ส่วนใหญ่เห็นว่าการระบายข้าวในตลาดเอเฟท ดีที่สุดในขณะนี้ เพราะเป็นไปตามราคาตลาด และการระบายข้าวเดือนละ 3 แสนตัน ไม่ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวในตลาดด้วย ส่วนระยะเวลาที่ใช้ในการระบายข้าว หากขายเดือนละ 3 แสน 10 เดือนก็ได้ 3 ล้านตันแล้ว แต่หากกระทรวงพาณิชย์ยังดึงดันประมูลให้ผู้ส่งออก หากราคาที่ได้ต่ำกว่าราคาตลาดต้องชี้แจงเหตุผลให้ได้ เพราะ ครม. มีมติกรณีการระบายสินค้าเกษตร หากมีผลขาดทุนต้องแจ้งสาเหตุให้ครม.รับทราบ" นายปราโมทย์ กล่าว

นายปราโมทย์ กล่าวว่า สาเหตุที่นายกฯเรียกประชุม กขช. นัดพิเศษครั้งนี้ เพราะทราบว่านางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะมีการประมูลขายข้าวให้ผู้ส่งออก 3 แสนตัน จึงต้องการฟังความเห็นจากกรรมการก่อน ซึ่งกรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าควรทยอยขายข้าวสารในตลาดเอเฟท แต่หากกระทรวงพาณิชย์จะเปิดประมูล 3 แสนตัน โดยอ้างว่ามีอำนาจระบายข้าวด้วยวิธีใดก็ได้นั้น ก็แสดงว่าความเห็นของกรรมการ กขช.ไม่มีความหมาย หากเกิดความเสียหาย ผู้ลงนามคำสั่งต้องถือว่ามีความผิดด้วย

"อยากถามว่าหากเป็นอย่างนี้กระทรวงพาณิชย์กล้าหรือไม่ ขณะที่โดยความเห็นส่วนตัว ก็เชื่อว่าการประมูลข้าวในวันที่ 14 ม.ค. นี้ จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน" นายปราโมทย์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม การประชุมครั้งนี้ ถือเป็นว่ามีนัยและเป็นการส่งสัญญาณโดยตรง ไปยังกระทรวงพาณิชย์ว่า ควรยกเลิกการประมูลข้าวล็อตนี้ แต่ในที่ประชุมนายกฯ ไม่ได้สั่งการหรือระบุให้กระทรวงพาณิชย์ยกเลิกการประมูลข้าวสาร 3 แสนตัน แต่อย่างใด

นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ รองกรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า กขช.เห็นชอบปริมาณการรับประกันต่อครัวเรือนของข้าวชนิดต่างๆ ให้เป็นไปตามมติ ครม.เดิม คือ ข้าวเปลือกเจ้าไม่เกิน 25 ตันต่อราย ข้าวปทุมธานี 1 ปริมาณไม่เกิน 25 ตันต่อราย ข้าวเปลือกเหนียวปริมาณ 16 ตันต่อราย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความความเป็นธรรมกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

นายอภิชาต จงสกุล เลขาธิการสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ระบุว่า สศก.คาดว่าปริมาณข้าวนาปรังปีการผลิตนี้จะอยู่ที่ประมาณ 8-9 ล้านตัน จากปกติผลผลิตข้าวนาปรัง 11 ล้านตัน หรือลดลง 2 ล้านตัน จากปริมาณน้ำที่มีน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่การระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล คาดว่าจะทำให้ผลผลิตข้าวลดลง 6-7 แสนตัน

อย่างไรก็ตาม สศก.คาดว่าราคาข้าวสารปีนี้น่าจะปรับเพิ่มสูงขึ้นถึงตันละ 17,000-18,000 บาท ทำให้ราคาข้าวเปลือกอยู่ที่อย่างน้อย 11,000 บาทต่อตัน

"ผมขอเตือนให้เกษตรกรไม่ควรเร่งปลูกข้าวนาปรัง เพราะปริมาณน้ำที่มีน้อยจะทำให้ผลผลิตเสียหายได้ ขณะที่เกษตรกรจะได้รับการชดเชยค่าเสียหายเพียง 606 บาทต่อไร่ ซึ่งไม่คุ้มกัน ซึ่งเท่าที่คำนวณขณะนี้พบว่ามีน้ำเพียงพอ สำหรับปลูกข้าวนาปรังในพื้นที่เขตชลประทานเพียง 9.5 ล้านไร่ เท่านั้น จากปกติ 12 ล้านไร่ และให้เกษตรกรพักหน้าดินบ้าง เพื่อตัดวงจรการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล" นายอภิชาต กล่าว

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ