รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมา นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสาร ได้ลงนามในคำสั่งเรื่อง แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณากำหนดกรอบคุณภาพและกลไกราคา ตามสภาพข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพข้าวสาร ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ที่เก็บรักษาในโกดังกลางขององค์การคลังสินค้า (อคส.) และ องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.)

ทั้งนี้ เพื่อนำข้อมูลมาพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการคิดคำนวณราคาตามสภาพและคุณภาพข้าวสารในสต็อกรัฐบาลที่เหมาะสม ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อทางราชการ กำหนดดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ 29 มิ.ย. 2553 และให้นำเสนอต่อคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสารให้ความเห็นชอบ เพื่อใช้ประกอบในการพิจารณากำหนดเกณฑ์ราคาพื้นฐานประกอบการตัดสินใจตกลงขาย ซึ่งโดยเร็วๆ นี้ กระทรวงพาณิชย์กำหนดจะเปิดประมูลข้าวเหนียว และข้าวหอมปทุมธานีก่อนรวมกว่า 300,000 ตัน

ทั้งนี้ ที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์สามารถอนุมัติระบายข้าวสารในสต็อกรัฐบาลได้เอง โดยไม่ต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพียงแต่รายงานให้ทราบเท่านั้น ซึ่งรูปแบบการระบายจะต้องเป็นไปตามมติของ กขช. ครั้งที่ 4/53 เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2553 ที่กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอให้ กขช.เห็นชอบอัตราค่าเสื่อมสภาพข้าว เพื่อใช้คำนวณต้นทุนการระบายข้าวและใช้อ้างอิงเพื่อเป็นราคาเปรียบเทียบ แต่ กขช.มีมติชัดเจนว่า ไม่ให้นำค่าเสื่อมดังกล่าว มาใช้คำนวณต้นทุนการระบายข้าว แต่ให้ใช้เพื่อคำนวณต้นทุนทางบัญชีของมูลค่าข้าวในสต็อกเท่านั้น

ค่าเสื่อมที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดนั้น ระบุว่า ข้าวที่เก็บมาแล้ว 1 ปีจะมีอัตราเสื่อมสภาพ 5% คิดเป็นมูลค่าที่สูญเสียไปตันละ 852.50 บาท ส่วน 2 ปี เสื่อมสภาพ 15% สูญเสียตันละ 2,557.50 บาท เก็บ 3 ปี เสื่อมสภาพ 30% มูลค่าสูญเสียตันละ 5,115 บาท เก็บ 4 ปี เสื่อม 50% สูญเสียตันละ 8,525 บาท ส่วนการเก็บในปีที่ 5 จะเสื่อมมากกว่า 50% และมูลค่าข้าวจะเหลือเพียง 40%ของราคาข้าวสาร หรือ 6,820 บาท

สำหรับองค์ประกอบการของคณะทำงานดังกล่าว เช่น นายถวิล พึ่งมา ประธานคณะทำงาน ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) อคส. และสังกัดคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง นายสมบัติ ชิณะวงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยบริการ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จ.กระบี่ นายวิชัย โกอุดมวิทย์ เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาตรการทางการค้า กรมการค้าภายใน นางปราณี ศิริพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว กรมการค้าต่างประเทศ และนายสมศักดิ์ วงศ์วัฒนศานต์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ อคส.

การระบายข้าวในช่วงนี้ของรัฐบาลเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในแง่การระบายสต็อก เนื่องจากข้าวนาปรังเพิ่งหมดฤดูเก็บเกี่ยวหรือเหลือปริมาณลดลง ไม่ส่งผลกดดันราคาตลาดให้ตกต่ำลงมาก แต่ราคาตลาดในช่วงนี้ค่อนข้างต่ำหากระบายจะขาดทุนมาก โดยราคาข้าวไทยยังห่างกับข้าวเวียดนาม 60-70 ดอลลาร์ต่อตัน โดยเฉพาะข้าวขาว 5% ที่เป็นข้าวชนิดเดียวกับเวียดนาม ยังห่างกันอยู่ประมาณ 30-40 ดอลลาร์ต่อตัน

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ