พ่อค้าข้าวเวียดนามเผยว่า ส่งออกข้าว 600,000 ตันไปจีนตั้งแต่เดือน พ.ค. ขณะสมาคมอาหารเวียดนาม กล่าวว่า การส่งออกข้าวจำนวนมากมุ่งไปที่ภาคใต้ของจีน เพื่อชดเชยการขาดแคลนข้าวผลจากเกิดภัยแล้งอย่างหนัก และการจัดส่งดังกล่าวเป็นคำสั่งซื้อมากผิดปกติจากจีน ซึ่งเป็นผู้บริโภคและผู้ผลิตข้าวรายใหญ่ที่สุดในโลก
ตัวเลข 600,000 แสนตันดังกล่าว นับเป็นการนำเข้าข้าวที่มากกว่าที่รัฐบาลจีนระบุไว้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เป็นจำนวนกว่า 3 เท่า อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรหรือกระทรวงพาณิชย์ของจีนยังไม่ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับรายงานข่าวนี้ ขณะที่นายจู เจี้ยนฟาง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่งบริษัทซิติกซีเคียวริตีส์ กล่าวว่า หากตัวเลขนำเข้าดังกล่าวเป็นจริง จะไม่มีผลกระทบมากนักต่อปริมาณข้าวสำรองของจีน เพราะ 90% ของข้าวในตลาดจีน มีการจัดหาจากในประเทศ และคาดว่าการนำเข้าจากเวียดนาม จะทำให้ข้าวในตลาดท้องถิ่นมีความหลากหลายมากขึ้น
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรจีน ระบุว่า การนำเข้าข้าวของจีนในช่วง 6 เดือนแรก เพิ่มขึ้น 44.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 174,000 ตัน ขณะที่การส่งออกข้าวลดลงเกือบ 25%
นักวิเคราะห์วิตกเกี่ยวกับความมั่นคงด้านอาหารมากขึ้น เพราะคาดว่าราคาข้าวจะสูงขึ้น ผลจากการผลิตภาคเกษตรในประเทศต่างๆ ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ รวมถึงภัยแล้งและน้ำท่วม
ขณะที่นายหวัง กัวะจือ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมณฑลเหยหลงเจียง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกข้าวแหล่งใหญ่แห่งหนึ่งของจีน กล่าวว่า จำนวนการนำเข้าข้าวจากเวียดนามนับว่าเล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับข้าวที่ผลิตได้กว่า 10 ล้านตัน ในมณฑลเหยหลงเจียงในแต่ละปี โดยเหยหลงเจียงจัดหาข้าวคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของผลผลิตข้าวทั้งหมดในประเทศ
นายนิค โรบินส์ นักวิเคราะห์แห่งเอชเอสบีซี ในกรุงลอนดอน ระบุว่า ภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอาจทำให้การผลิตข้าวในประเทศกลุ่มจี 20 ลดลงมากถึง 8.7% ภายในปี 2563 หากไม่มีการดำเนินมาตรการจริงจังในการรับมือสภาพอากาศแปรปรวนและอุณหภูมิที่สูง โดยในระยะใกล้นั้น ภัยแล้งและคลื่นความร้อนผลจากภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง จะทำให้เกษตรกรต้องปรับปรุงวิธีบริหาร
สภาพอากาศที่แปรปรวนทำให้ราคาข้าวสาลีพุ่งขึ้นเกือบ 70% นับจากเดือน มิ.ย. หลังจากรัสเซียเผชิญภัยแล้งครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 130 ปี จนทำให้นายกรัฐมนตรีวลาดิมีร์ ปูติน ห้ามส่งออกข้าวสาลี และสร้างความตื่นตระหนกแก่อียิปต์ ซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้าวสาลีรายใหญ่ที่สุดของโลก
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ |
