รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ภายในสัปดาห์นี้ กรมการค้าต่างประเทศจะออกประกาศเงื่อนไขการประมูลข้าวสารในสต็อกรัฐบาล 3.75 แสนตัน ตามมติของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ที่มีนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยมีมติให้กระทรวงพาณิชย์ เปิดระบายข้าวสารในสต็อกรัฐบาลเพื่อการส่งออก หลังจากที่ได้ข้อสรุปเรื่องเกณฑ์การหักค่าเสื่อมข้าวในสต็อกรัฐบาลแล้ว คาดว่ากระทรวงพาณิชย์จะเปิดประมูลข้าวได้ภายในสัปดาห์หน้า

อย่างไรก็ตาม หากดูจากเกณฑ์การหักค่าเสื่อมสภาพข้าวที่ กขช.อนุมัติ เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา พบว่าจะทำให้รัฐบาลเสียเปรียบเอกชนที่เข้าร่วมประมูลข้าวมาก เพราะหลักเกณฑ์ใหม่มีการหักค่าเสื่อมเป็นเปอร์เซ็นต์ตามสภาพข้าวรายปี เช่น ข้าวที่เก็บระยะเวลา 1 ปี หักค่าเสื่อม 5% หรือหักออกตันละ 25.96 ดอลลาร์ ข้าว 2 ปี หักค่าเสื่อม 15%หรือตันละ 77.88 ดอลลาร์ ข้าว 3 ปี หักค่าเสื่อม 30% หรือตันละ 155.76 ดอลลาร์ ข้าว 4 ปี หักค่าเสื่อม 50% หรือตันละ 259.59 ดอลลาร์ ส่วนข้าวที่เก็บนาน 5 ปี ให้เปิดระบายเพื่อใช้ในโรงงานอาหารสัตว์แทน เพราะจะถูกหักราคามากกว่า 50%

แหล่งข่าวจากผู้ส่งออกข้าว กล่าวถึงหลักเกณฑ์การประมูลข้าวรัฐที่กำหนดให้ผู้ร่วมประมูล ต้องเป็นผู้ซื้อขายข้าวในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (เอเฟท) มาก่อน ว่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้ส่งออกเพียงไม่กี่รายและโรงสีอีกจำนวนหนึ่ง

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ทางผู้ส่งออกไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนดดังกล่าว เห็นว่าเป็นการกีดกันการค้าเสรี เหมือนการล็อกสเปค ควรเปิดกว้างให้รายเล็กและรายใหญ่ เรื่องนี้ต้องหารือกับกระทรวงพาณิชย์ต่อไป

นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ได้กำหนดเกณฑ์ราคาอ้างอิงประจำวันที่ 15 ก.พ.2553 เป็นราคาอ้างอิงชุดสุดท้ายของโครงการประกันรายได้เกษตรกรรอบ 1 (ข้าวนาปี 2551/2552) โดยราคาอ้างอิงข้าวเปลือกเจ้าอยู่ที่ตันละ 9,886 บาท จากราคาประกันตันละ 1 หมื่นบาท ชดเชยตันละ 114 บาท ข้าวหอมมะลิ ตันละ 14,796 บาท จากราคาประกัน 1.53 หมื่นบาท ชดเชยตันละ 504 บาท ข้าวหอมจังหวัด ตันละ 14,148 บาท จากราคาประกัน 1.43 หมื่นบาท ชดเชยตันละ 152 บาท ส่วนข้าวปทุมธานี และข้าวเหนียวไม่ต้องชดเชย เพราะราคาอ้างอิงสูงกว่าราคาประกัน โดยข้าวปทุมอยู่ที่ 11,824 บาท จากราคาประกัน 1 หมื่นบาท และข้าวเหนียว 11,207 บาท จากราคาประกัน 9,500 บาท

สำหรับโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวรอบ 2 (ข้าวนาปรัง 2553) จะดำเนินการต่อจะมีผลผลิตออกมาในช่วงปลายเดือนก.พ.-เม.ย.นี้ โดยกำหนดมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวควบคู่ไปด้วย คาดต้องประเมินผลผลิตข้าวนาปรังอีกครั้ง เพราะมีพื้นที่ปลูกกว่า 2แสนไร่ ในภาคกลางที่ได้รับผลกระทบจากเพลี้ยกระโดด อาจจะสร้างความเสียหายต่อผลผลิต

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ