ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานโครงการข้าวใหม่มาแลกข้าวเก่า โดยนายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงกำลังอยู่ระหว่างการร่างรายละเอียดมาตรการให้โรงสี นำเข้าใหม่มาแลกกับข้าวเก่าตามที่คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เห็นชอบในหลักการไปแล้ว เพื่อเสนอให้นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พิจารณาก่อนจะออกเป็นประกาศรับสมัครโรงสีข้าวต่อไป หากมาตรการนี้สำเร็จจะทำให้โรงสีเข้ามาช่วยซื้อข้าวเปลือกในท้องตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ราคาข้าวในตลาดปรับอีก จากขณะนี้ที่ราคาข้าวเปลือกปรับขึ้นเฉลี่ยตันละ 600-700 บาท หรือสูงขึ้น 8,000 บาทแล้ว

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ในร่างหลักเกณฑ์การแลกเปลี่ยนข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลตามแนวทางแก้ไขปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต่ำปี 2553 ได้กำหนดให้ อคส./อ.ต.ก.จะต้องออกประกาศรับสมัครโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ แลกข้าวฯภายในวันที่ 4 พฤษภาคม 2553 แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการออกประกาศ เนื่องจากอาจจะต้องมีการปรับเงื่อนไข จากเบื้องต้นกำหนดให้พื้นที่คลังสินค้าข้าวทั้ง 2 จะต้องอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน แต่ไม่ระบุว่าจะใช้ข้าวในคลังจากจังหวัดใด โดยโรงสีที่มีคุณสมบัติตามประกาศให้ยื่นความจำนงภายในวันที่ 13 พฤษภาคม 2553 และมอบอำนาจให้ อคส./อ.ต.ก.เป็นผู้พิจารณาอนุมัติให้โรงสีรายใดได้ รวมถึงจัดสรรปริมาณและชนิดข้าวที่จะแลก ส่วนกรณีที่มีโรงสีสนใจแลกข้าวในคลังใดซ้ำกันมากกว่า 1 ราย ให้พิจารณาเลือกผู้ที่ให้ประโยชน์สูงสุดแก่ทางราชการเป็นผู้ได้ไป พร้อมทั้งกำหนดให้จัดหาบริษัทผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว (เซอร์เวเยอร์) โดยมอบให้คณะอนุกรรมการข้าวระดับจังหวัดเป็นผู้ตรวจสอบสต๊อกโรงสีก่อนรับซื้อ

โดยโรงสีที่เข้าร่วมโครงการจะต้องซื้อข้าวเปลือกเจ้านาปรังปี 2553 สีแปรสภาพเป็นข้าวสาร 5% จากเกษตรกรในราคา "สูงกว่า" ราคาตลาดอ้างอิงในแต่ละช่วงตันละ 300 บาท ระหว่างเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2553 และที่สำคัญจะต้องซื้อปริมาณไม่เกินผลผลิตต่อไร่ระดับจังหวัดที่ ครม.กำหนด หรือข้าวที่เพิ่มคูณด้วยพื้นที่เพาะปลูกตามใบรับรองการขึ้นทะเบียนเกษตรกรและบวกเพิ่มได้ไม่เกิน 10% คำนวณจากข้าวที่มีความชื้นไม่เกิน 10% โดยโรงสีจะต้องเตรียมหลักฐานประกอบการรับซื้อจากเกษตรกร แนบสำเนาบัตรประชาชน ต้นฉบับใบรับรองผลการขึ้นทะเบียนด้วย โดยมีเงื่อนไขว่าโรงสีต้องรับมอบข้าวที่แลกได้ภายใน 7 วัน และต้อง รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ทุกอย่าง อาทิ ค่าเช่าคลัง ค่าประกันภัย

ด้านนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ในวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมานี้ว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้ใช้งบประมาณจำนวน 436.8 ล้านบาท เพื่อเยียวยาเกษตรกรจำนวน 200,000 รายทั่วประเทศที่ขาดทุนจากการเข้าร่วมโครงการประกันรายได้ในช่วงระหว่างวันที่ 15 มีนาคม-25 เมษายน เพราะไม่สามารถขายข้าวได้ถึงตันละ 10,000 บาท ตามเป้าหมายของรัฐบาล เนื่องจากการกำหนดสูตรราคาอ้างอิงเพื่อชดเชยราคาข้าวให้กับเกษตรกรในช่วงนั้นต่ำกว่าราคาตลาดมาก เพราะนำข้อมูลราคาย้อนหลังที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์มาคำนวณ ส่งผลให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนเพราะขายข้าวได้ในราคาต่ำมาก

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ