นายวิจักร วิเศษน้อย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้อนุมัติให้มีการเปิดระบายข้าวสารในสต็อกรัฐบาลปริมาณ 3.75 แสนตัน เป็นข้าวขาว 5% ปริมาณ 3 แสนตัน และข้าวเหนียว 7.5 หมื่นตัน เพื่อผ่อนคลายความตึงตัวของตลาดข้าวในประเทศ และตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศ ลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาข้าวในสต็อก

ทั้งนี้ จะเปิดให้ผู้ส่งออกที่สนใจยื่นซองเสนอซื้อในวันที่ 21 ม.ค.นี้ และเปิดซองราคาในวันเดียวกัน และจะเจรจาต่อรองกับผู้ที่เสนอราคาซื้อที่อยู่ในเกณฑ์ในวันที่ 22 ม.ค.

"ตอนนี้ตลาดข้าวมีความตึงตัว เพราะผลผลิตข้าวนาปีได้ออกสู่ตลาดเกือบหมดแล้ว ปริมาณ 21.2 ล้านตัน หรือ 92.28% ของปริมาณข้าวทั้งหมด ทำให้ผู้ส่งออกหาซื้อข้าวได้ยาก และข้าวนาปรังกว่าจะออกก็เดือน เม.ย.-มิ.ย. ขณะที่ความต้องการซื้อข้าวของต่างประเทศก็มีเข้ามามาก เพราะหลายประเทศผลผลิตเสียหายจากภัยธรรมชาติ คาดว่าจะมีผู้ส่งออกเสนอซื้อเป็นจำนวนมาก" นายวิจักรกล่าว

สำหรับเงื่อนไขในการเปิดให้ยื่นซองเสนอราคาซื้อนั้น ให้เสนอราคาซื้อ ณ หน้าคลังสินค้าเป็นเงินบาท และเสนอราคาซื้อเต็มจำนวนที่เก็บในแต่ละโกดัง และต้องมีหลักประกันซองอัตรา 2% ของมูลค่าสินค้าที่ยื่นเสนอราคาซื้อ เมื่อได้รับการคัดเลือกจะต้องทำสัญญาซื้อขายภายใน 10 วัน วางหลักประกัน 5% ของมูลค่าข้าวสาร ต้องส่งออกทั้งหมดภายใน 45 วัน

นายวิจักร กล่าวว่า ในการเจรจาต่อรอง กรมจะต่อรองกับผู้ที่เสนอราคาซื้อที่อยู่ในเกณฑ์ที่กรม กำหนดทุกราย โดยยึดราคาตลาดเป็นหลัก แต่ราคาที่ได้คงจะไม่เท่ากับราคาตลาด เพราะข้าวที่ขายเป็นข้าวเก่า ซึ่งมีเงื่อนไขในการคิดราคาอยู่แล้ว แต่เชื่อว่าจะได้ราคาดี และจะขายให้กับผู้ที่ให้ราคาดีที่สุด

รายงานข่าวแจ้งว่า ในการเสนอซื้อข้าวสารในสต็อกรัฐบาล ในวงการค้าข้าวหักราคาค่าเสื่อมออกปีละ 10 ดอลลาร์ต่อตัน หากเป็นข้าวเก่า ซึ่งการขายข้าวครั้งนี้ เป็นข้าวนาปรังปี 2551 นาปี 2551/2552 และนาปรัง 2552 ซึ่งถือว่าไม่เก่ามาก จึงไม่น่าจะที่หักค่าเสื่อมได้มากนัก และราคาที่ได้ควรใกล้เคียงกับราคาตลาด และการเลือกช่วงเวลาประมูลขณะนี้ อาจเปิดช่องให้มีการกว้านซื้อข้าวเพื่อเก็งกำไร เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าราคาข้าวจะปรับสูงขึ้น ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ ตามทิศทางความต้องการตลาด

นายสมพงษ์ กิตติเรียงลาภ ประธานกรรมการบริษัท พงษ์ลาภ จำกัด กล่าวว่า การตัดสินใจระบายข้าวในช่วงนี้ค่อนข้างล่าช้า เนื่องจากผู้ซื้อรายใหญ่และให้ราคารับซื้อที่ดีอย่างฟิลิปปินส์ ได้ปิดการซื้อไปก่อนหน้านี้ จึงไม่เชื่อว่าจากนี้ไปจะมีคำสั่งซื้อเข้ามามาก อย่างไรก็ตาม คาดว่าการประมูลครั้งนี้จะมีผู้ให้ความสนใจจำนวนมาก และผู้สนใจร่วมประมูลอาจจะเสนอราคาซื้อจากรัฐ ที่ต่ำกว่าท้องตลาด หรือเฉลี่ยที่ตันละ 1.6-1.7 หมื่นบาท

สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยรายงานว่าราคาส่งออก (เอฟโอบี) ข้าวหอมมะลิเมื่อวันที่ 13 ม.ค. ราคา ตันละ 1,119 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากเมื่อ 6 ม.ค. ตันละ 1,116 ตัน ข้าวขาว 100% ตันละ 609 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากตันละ 607 ดอลลาร์ ข้าว 5% ตันละ 577 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1.88 หมื่นบาท ส่วนข้าว 25%ตันละ 505 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก ตันละ 508 ดอลลาร์ ข้าวเหนียว 10% ตันละ 779 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากตันละ 777 ดอลลาร์

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ