ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวานนี้ มีนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมวาระพิจารณากระทู้ถามสดเรื่องการระบายข้าว 1.6 ล้านตัน ของนายไพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ถามนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเลื่อนมาจากสัปดาห์ที่แล้ว
นายไพโรจน์ กล่าวว่า การระบายข้าวในสต็อกกว่า 5 ล้านตัน มีการตรวจสัญญาซื้อขายโดยอัยการสูงสุดหรือไม่ และรัฐบาลเคยบอกว่า ใครมาซื้อข้าวจากสต็อกของรัฐด้วยราคาต่ำกว่าราคาตลาด ต้องผ่านมติ ครม.จึงมีข้อสงสัยเรื่องความไม่โปร่งใส ตนได้รับข้อมูลว่า มีการให้บริษัทส่งสัญญาณสั่งซื้อจากต่างประเทศมาให้ดูแล้ว จึงแบ่งเค้กให้ผู้ซื้อที่เป็นพรรคพวกนักการเมืองได้ประมูลถูก และมีข่าวในสื่อว่า บริษัท เม่งไต๋อินเตอร์เทรด ที่ไม่เคยปรากฏว่าเป็นผู้ค้ารายใหญ่ แต่ได้เค้ก 1.1 ล้านตัน เป็นบริษัทนอมินีของฝ่ายการเมืองหรือไม่
นายไตรรงค์ ชี้แจงว่าวิธีระบายข้าว คือ เชิญพ่อค้าที่มีสัญญาสั่งซื้อจากต่างประเทศมาเสนอซื้อ โดยคณะกรรมการฝ่ายรัฐมี 3 ระดับ ตรวจสอบคุณสมบัติ ดูสัญญา คณะกรรมการระดับที่ 2 กำหนดราคา ต่อรองให้ราคาสูงขึ้น เสนอคณะกรรมการระดับ 3 รมว.พาณิชย์เป็นประธาน ทำหนังสือมาถึงตนหรือนายกฯว่า จะเห็นชอบหรือไม่ ถ้าเห็นชอบก็จะทำสัญญา และเริ่มระบายข้าว
นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ ได้รับมอบหมายจาก รมว.พาณิชย์ ชี้แจงว่า การระบายข้าวต้องคำนึงถึงตลาดภายในและตลาดโลก เพราะประเทศไทยเป็นผู้ค้ารายใหญ่ การระบายข้าว 4-5 ครั้งที่ผ่านมา จึงต้องเลือกวิธีการที่แตกต่างและช่วงเวลาที่เหมาะสม และยินดีตรวจสอบเรื่องความไม่โปร่งใสและในการระบายต้องขอเป็นความลับทางการค้า เพราะเกรงกระทบกับตลาด
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงสั้นๆ ว่า ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อ ตนได้สั่งให้คณะกรรมการที่เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวทำรายงานมาให้ตนแล้ว และขอข้อมูลจากผู้อภิปรายเพื่อดำเนินการตรวจสอบควบคู่กันด้วย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมาตนได้พบกับนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ที่สภาและได้ขอให้นางพรทิวาจัดทำรายงานเกี่ยวกับการระบายข้าวสารในสต็อกของรัฐเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย รวมทั้งเรื่องการระบายมันสำปะหลัง
อย่างไรก็ตาม ในส่วนภาพรวมเกี่ยวกับการระบายสินค้าเกษตรนั้น รัฐบาลจะพิจารณาระบายในจังหวะเวลาที่สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาด และเมื่อดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วจะมีการเปิดเผยข้อมูลทุกอย่าง และหากมีปัญหาก็ต้องความรับผิดชอบ
“นโยบายระบายสินค้าเกษตร ต้องให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาด และไม่ว่าดำเนินการโดยวิธีอะไรก็ตาม เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว นายไตรรงค์ยืนยันกับผมว่าจะต้องมีการเปิดเผยทุกอย่างทั้งหมดและสามารถตรวจสอบได้ แต่ที่ขณะนี้ที่ไม่อยากให้ข่าวในรายละเอียดมาก เพราะไม่อยากให้กระทบตลาด”
นายสมพงษ์ กิตติเรียงลาภ ประธานกรรมการบริษัท พงษ์ลาภ จำกัด กล่าวว่า เห็นด้วยที่นายกฯจะตรวจสอบการระบายข้าวสต็อกรัฐบาล ที่พบความไม่โปร่งใสหลายประการ และถ้าเป็นไปได้ควรทบทวนการระบายดังกล่าว เพื่อลดความเสี่ยงการสร้างความเสียหายต่อประเทศจากการระบายข้าวครั้งนี้
แหล่งข่าวจากบริษัทส่งออกข้าว กล่าวว่า กรณีบริษัท เอ็มที เซ็นเตอร์เทรด จำกัด ชนะประมูลข้าวสต็อกรัฐ 1.1 ล้านตันเป็นสิ่งที่อาจสร้างความเสียหายให้รัฐบาลได้เนื่องจากบริษัทดังกล่าวเป็นผู้ส่งออกข้าวรายเล็ก ไม่น่าจะมีความสามารถในการทำสัญญาซื้อข้าวรัฐปริมาณมากถึง 1.1 ล้านตันได้ ทั้งนี้ ต้องใช้เงินวางค้ำประกัน 5% ของมูลค่าข้าว หรือประมาณ 900 ล้านบาท และมูลค่าข้าวทั้งหมด 1.7 พันล้านบาท
อย่างไรก็ตาม หากบริษัทอ้างว่ามีความสามารถชำระเงินดังกล่าวได้ ก็ยังมีข้อสงสัยเรื่องปริมาณข้าวที่ต้องนำออกจากโกดังที่ต้องขนออกภายใน 5 เดือน 3 ล้านกระสอบต่อเดือนหรือวันละ 1 แสนกระสอบ ซึ่งไม่มีบริษัทส่งออกรายใดในปัจจุบันจะสามารถดำเนินการได้
"เชื่อว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลัง แม้จะเป็นบริษัทที่อยู่ในสมาคมผู้ส่งออกข้าว และเป็นผู้ส่งออกจริง แต่ความสามารถประมูลข้าวมากมายขนาดนี้ อย่าว่าแต่บริษัทรายใหญ่ๆ ต่อให้นำ 3 รายใหญ่มารวมกันยังทำยาก กรณีบริษัทเล็กๆ เข้ามาทำเรื่องนี้ ข้าวที่ได้อาจไม่ได้นำไปส่งออกจริง ไม่รู้ว่าทำไมบริษัทจึงชนะประมูลเพราะไม่มีการเปิดเผย" แหล่งข่าวกล่าว
นายมนูญ์รัตน์ เลิศโกมลสุข ผู้อำนวยการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กล่าวว่า อ.ต.ก.อยู่ระหว่างเตรียมส่งมอบข้าวล็อตแรกจำนวน 4 แสนตันให้กับบริษัทเอ็มทีเซ็นเตอร์เทรด ตามคำสั่งของนางพรทิวา โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ ส่วนข้าวล็อตที่ 2 จะต้องรอคำสั่งที่ชัดเจนอีกครั้ง
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
|