นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผย กรณีที่ นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อนุมัติให้เปิดระบายข้าวสารในสต็อกรัฐบาล 3.75 แสนตัน แบ่งเป็นข้าวขาว 5% ปริมาณ 3 แสนตัน และข้าวเหนียว 7.5 หมื่นตัน โดยจะเปิดให้ผู้ส่งออกที่สนใจ ยื่นซองเสนอซื้อในวันที่ 21 ม.ค. นี้ ว่า การระบายข้าวในช่วงนี้มีความเหมาะสม แต่จะต้องมีบริหารช่องทางการระบายข้าว เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนกับราคาในตลาดเกินไป ซึ่งการระบายข้าวนั้นสามารถทำได้ในลักษณะการทยอยระบายข้าวออกไป
อย่างไรก็ตาม สำหรับราคาจะต้องประมูลได้ไปนั้น ต้องเป็นราคาที่ไม่ต่ำกว่าราคาตลาด และต้องเสนอให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้ความเห็นชอบก่อนระบาย
นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า ส่วนนโยบายการระบายข้าวสารในสต็อกของรัฐจำนวน 6 ล้านตันนั้น ตนได้ให้นโยบายไปในที่ประชุม กขช.แล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณะได้ แต่มีหลักการ คือ จะต้องรักษาผลประโยชน์ของรัฐ
ส่วนการระบายข้าวโพดและมันสำปะหลัง ในสต็อกของรัฐบาลนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า จะมอบหมายนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ดูแลแทนนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกฯและอดีตรองนายกฯ แต่เข้าใจว่าประเด็นเรื่องข้าวโพดกับมันสำปะหลังนั้นใกล้เสร็จแล้ว
ส่วนกระแสข่าวการทุจริตระบายข้าวโพดที่ จ.นครสวรรค์ ซึ่งเอกชนที่ชนะการประมูลมีทุนจดทะเบียนเพียง 5 ล้านบาท แต่ชนะการประมูลซื้อข้าวโพดในวงเงิน 1.4 พันล้านบาทนั้น หากมีข้อมูลว่ามีความไม่โปร่งใสก็เสนอมาได้ ตนยังไม่ทราบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไร ต้องเข้าไปตรวจสอบก่อน
แหล่งข่าวจากวงการข้าว กล่าวว่า ท่าทีของนายกฯในการสนับสนุนให้นางพรทิวา ระบายข้าวแตกต่างไปจากเดิม ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าว (กขช.) นัดพิเศษ สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งสั่งให้ กขช.คิดวิธีการระบายข้าวที่เหมาะสม และเห็นพ้องกันในการระบายผ่านตลาดล่วงหน้าสินค้าเกษตร ซึ่งเป็นแนวทางที่ดีที่สุดและราคาเป็นไปตามราคาตลาด แต่หากประมูลขายให้เอกชน อาจถูกพ่อค้าฮั้วกดราคาได้ในช่วงนี้ เพราะทันทีที่มีข่าวระบายข้าวออกมา ราคาข้าวลดลงไปทันที 500-800 บาทต่อตัน
จากการประเมินในบรรดาพ่อค้าข้าวด้วยกัน ราคาจะขยับสูงขึ้นอีกหลังจากนี้ เพราะภัยพิบัติธรรมชาติเกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้ความต้องการตลาดสูงขึ้น จึงเป็นไปได้ในการปล่อยข้าวออกมา เพื่อให้ผู้ส่งออกที่ใกล้ชิดกับฝ่ายการเมืองซื้อไปเก็บสต็อกไว้รอขายในราคาสูงขึ้น โดยแบ่งผลกำไรคืนให้ฝ่ายการเมืองบางส่วน
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ |