นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงยุทธศาสตร์ตลาดข้าวไทยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำยุทธศาสตร์ตลาดข้าวปี 2554-2558 เสร็จแล้ว และได้เสนอให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) รับทราบแล้วในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป โดยยุทธศาสตร์ดังกล่าวกำหนดให้ไทยเป็นผู้นำด้านคุณภาพข้าว และผลิตภัณฑ์ข้าวของโลก เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้มั่นคง และผู้บริโภคมั่นใจ นอกจากนี้ ยังได้ตั้งเป้าหมายมูลค่าการส่งออกเฉลี่ยปีละ 4,400-4,950 ล้านดอลลาร์ และปริมาณการส่งออกเฉลี่ยปีละ 8.5 ล้านตัน
“ต่อจากนี้ไป การส่งออกข้าวของไทยจะไม่เน้นด้านปริมาณ แต่จะเน้นการเพิ่มมูลค่าของสินค้า เพื่อนำรายได้เข้าสู่ประเทศมากขึ้นและเกษตรกรขายสินค้าได้ราคาดีขึ้น นอกจากนี้ยังต้องขยายตลาดใหม่ๆ ที่สำคัญต้องไม่ตัดราคาขายแข่งกับเวียดนาม เพราะจะฉุดให้ราคาข้าวโลกตกต่ำ เนื่องจาก 2 ประเทศเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก ซึ่งในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน วันที่ 24-25 ส.ค. นี้ ที่เวียดนาม ไทยจะหารือกับเวียดนามเพื่อกำหนดความร่วมมือค้าข้าวร่วมกัน หลังจากที่ผ่านมา ไม่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง” นายยรรยงกล่าว
สำหรับชนิดข้าวที่จะมุ่งส่งออกนั้น มีทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวหอมปทุมธานี ข้าวขาว ข้าวนึ่ง และข้าวเหนียว ซึ่งข้าวทุกชนิดจะใช้กลยุทธ์ทั้งเพิ่มมูลค่า เพิ่มตลาดใหม่ และรักษาตลาดเก่า โดยหอมมะลิ ตั้งเป้ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 20% เน้นส่งออกไปตลาดใหม่ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กาตาร์ โอมาน โปรตุเกส เดนมาร์ก ออสเตรีย กาบอง เซียร์ราลีโอน โตโก บราซิล เป็นต้น ส่วนตลาดเดิมจะยังคงรักษาไว้ เพราะมีกำลังซื้อสูง เช่น สหรัฐ ฮ่องกง กานา จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย เนเธอร์แลนด์ แคนาดา เป็นต้น สำหรับกรอบการดำเนินการงานนั้น จะเริ่มจากยกระดับคุณภาพและมาตรฐาน จัดระบบส่งออกให้มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าสินค้า แสวงหาช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพข้าว และจัดคณะผู้แทนเดินทางไปขยายตลาดข้าวในต่างประเทศ
ส่วนข้าวหอมปทุมธานี ตั้งเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการส่งออกให้ได้เฉลี่ยปีละ 10% เน้นส่งออกตลาดใหม่ เช่น เลบานอน อิสราเอล โปแลนด์ เดนมาร์ก จอร์เจีย และ เคนยา รวมถึงยังคงรักษาตลาดเดิม ขณะที่ข้าวขาว ตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าให้ได้เฉลี่ยปีละ 20% เน้นบุกตลาดใหม่ เช่น เลบานอน อิสราเอล โปแลนด์ เดนมาร์ก จอร์เจีย เคนยา และรักษาตลาดเก่า เช่น อิรัก ญี่ปุ่น แอฟริกาใต้ โมซัมบิก เซเนกัล แคเมอรูน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ แองโกลา ฯลฯ
สำหรับข้าวนึ่ง ตั้งเป้ามูลค่าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 20% เน้นตลาดใหม่ เช่น บาห์เรน ตุรกี ยูเครน สวิตเซอร์แลนด์ ไลบีเรีย ตูนิเซีย โดยต้องยกระดับคุณภาพมาตรฐานและราคา จัดคณะผู้แทนการค้าเดินทางไปขยายตลาดข้าว ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความมั่นใจในคุณภาพมาตรฐาน ส่งเสริมการเพิ่มมูลค่าสินค้า และสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มผู้นำเข้า
ด้าน นายฉัตรชัย ชูแก้ว ในฐานะโฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า แนวทางระบายข้าวยืนยันว่ากระทรวงพาณิชย์ยึดถือตามแนวทาง มติ กขช.และมติ ครม.โดยเคร่งครัด โดยทุกขั้นตอน มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และได้กำหนดให้ระบายตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในกรอบยุทธศาสตร์การระบายข้าวด้วยความระมัดระวังมิให้กระทบต่อราคาตลาด ซึ่งการระบายนั้นจะต้องคำนึงถึงสภาวะราคาในปัจจุบันไม่ให้ราคาข้าวตกต่ำ ผู้ปฏิบัติจึงจะต้องกระทำด้วยความรอบคอบ
ดังนั้น คณะทำงานซึ่งมี อธ.คต.เป็นประธานจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบแนวทางดังกล่าว ซึ่งบางขั้นตอนไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะทำการระบาย เพราะอาจจะทำให้กระทบต่อราคาการรับซื้อข้าวจากชาวนาหรืออาจจะทำให้ราคาข้าวร่วงลง เช่นเดียวกับกรณีที่เคยเกิดขึ้น หรือผู้ส่งออกข้าวบางราย ทุบราคาข้าวเพื่อต้องการซื้อข้าวในราคาถูกจากรัฐบาลได้ ทันนี้การระบายทุกครั้งจะต้องได้รับความเห็นชอบจาก ประธาน (นรม.) หรือรองประธาน กขช. (รอง นรม.ไตรรงค์) ทุกครั้งซึ่งผู้สนใจซื้อที่ประสงค์จะทำคำเสนอซื้อก็เสนอปริมาณและราคาที่จะเสนอซื้อมาได้ที่กรมการค้าต่างประเทศได้โดยตรง
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ |