แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เตรียมจัดตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามและตรวจสอบข้าวสารในสต็อกข้าวของรัฐบาลที่มีอยู่กว่า 5 ล้านตัน เพื่อสำรวจปริมาณและคุณภาพข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลทั้งหมด ว่าเป็นไปอย่างถูกต้องครบถ้วนหรือไม่ ก่อนที่ผลผลิตข้าวนาปีประจำปี 2553/2554 จะเริ่มออกสู่ตลาดในช่วงปลายปีนี้
นอกจากนี้นายกฯ ยังสั่งให้นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ เร่งดำเนินการระบายสินค้าเกษตรทั้งข้าวและผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่อยู่ในสต็อกของรัฐบาลเป็นจำนวนมากโดยเร็ว
ก่อนหน้านี้นายกฯ ได้จัดตั้งคณะทำงานติดตามและตรวจสอบสต็อกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไปแล้ว พบว่าขณะนี้ผลิตภัณฑ์มันเส้นที่อยู่ในสต็อกของรัฐบาลกำลังเสื่อมคุณภาพลงทั้งหมด จนทำให้ ครม.มีมติเร่งให้กระทรวงพาณิชย์เร่งระบายผลิตมันสำปะหลังในสต็อกของรัฐบาลที่มีอยู่กว่า 9 แสนตัน ให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด หรืออย่างน้อยต้องมีการเดินหน้าเร่งระบายล็อตแรกให้เสร็จภายในวันที่ 3 ส.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม จากการเกิดโรคระบาดของเพลี้ยแป้งและภาวะภัยแล้ง ได้ส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตหัวมันสดในปี 2553/2554 ที่คาดว่าจะมีผลผลิตไม่เกิน 15 ล้านตัน จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 19 ล้านตัน ลดลงจากผลิตในปี 2552/2553 มากถึง 8.89% และลดลงจากปี 2551/2552 มากถึง 27.06% เมื่อนำมาเทียบกับปริมาณความต้องการใช้เพื่อแปรรูปเป็นมันเส้นและแป้งมันประมาณ 30-32 ล้านตัน ทำให้ราคาหัวมันสดสูงกว่าราคาประกันของรัฐบาลที่กำหนดไว้ที่กิโลกรัมละ 1.90 บาท
นอกจากนี้ ยังพบว่าจากปัญหาภัยธรรมชาติได้ส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังหันไปปลูกพืชเกษตรชนิดอื่นแทน โดยเฉพาะอ้อยและข้าวโพด เชื่อว่าในการเปิดโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังในปี 2553/2554 ที่เริ่มเปิดให้เกษตรกรลงทะเบียนมาตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา จะมีน้อยกว่าในปีที่ผ่านมาแน่นอน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ก.ค.2553 พบว่าการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรที่ปลูกมันสำปะหลังในปี 2552/2553 นั้นมีเกษตรกรมาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 448,261 ราย ผ่านการประชาคมแล้ว 445,776 ราย มีเกษตรกรที่ทำสัญญากับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) 427,518 ราย ซึ่ง ธ.ก.ส.โอนเงินชดเชยส่วนต่างให้เกษตรกร 380,374 ราย รวมเป็นเงิน 2,432.48 ล้านบาท หรือคิดเป็น 88.97% ของเกษตรกรที่ทำสัญญาทั้งหมด ส่วนใหญ่เกษตรกรได้มาขอใช้สิทธิมากที่สุดในเดือน พ.ย.2552 คิดเป็น 73.05% ของเกษตรกรที่ได้รับเงินชดเชยทั้งหมด โดยคิดเป็นเงินประมาณ 2,038 ล้านบาท
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ |
