นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การระบายข้าวสต็อกรัฐบาลขณะนี้ดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง ภายใต้หลักการพิจารณาราคาขายเป็นหลัก ซึ่งทั้งนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการข้าวแห่งชาติ (กขช.) และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี รับทราบ และครม.เห็นชอบแล้วว่าไม่จำเป็นต้องให้ ครม.พิจารณาอีก เพื่อให้เป็นความลับไม่กระทบราคาตลาด

ทั้งนี้ ราคาที่เสนอซื้อเข้ามาจะเป็นราคาไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ คืนให้เอกชนอีก ไม่ว่าจะเป็นค่าขนส่ง ค่าปรับปรุงสภาพ เช่น ข้าวขาว 5% ราคาเสนอซื้อส่วนใหญ่อยู่ที่ตันละ 1.2 หมื่นบาท ไม่ต่างจากราคาตลาดขณะนั้นตันละ 12,080 บาท

อย่างไรก็ตาม กรณีที่ว่าบริษัทใดจะเป็นผู้ได้รับการคัดเลือกให้ซื้อข้าวสต็อกของรัฐ และมีความสามารถขนส่งได้หรือไม่นั้น ในส่วนของสัญญาซื้อขายจะระบุชัดเจนว่าต้องวางเงินค้ำประกัน 5% จากมูลค่าข้าว และกำหนดเวลาขนย้ายชัดเจน คณะทำงานได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เช่นเดียวกับกรณีการให้ผู้ส่งออกรายอื่นส่งข้าวแทน หากหลักฐานยืนยันว่าได้ส่งออกไปแล้วจริง เบื้องต้นเห็นว่าเป็นสิทธิของผู้ส่งออกที่จะบริหารจัดการในส่วนขนส่ง

“ราคาเราถือว่าขายได้ดี แม้จะไม่เท่ากับที่เคยขายได้ตันละ 1.5 หมื่นบาทเมื่อก่อนหน้านี้ แต่ก็พร้อมจะให้รองนายกฯ ไตรรงค์ เป็นผู้แถลงให้เกิดความชัดเจนซึ่งตอนนี้จำเป็นต้องทำแบบลับๆไปก่อนและยังมีเซฟตี้สต็อกเหลือ 1 ล้านตัน เผื่อฉุกเฉินและความมั่นคงด้านอาหาร” นางพรทิวา กล่าว

แหล่งข่าวจากผู้ส่งออกข้าว กล่าวว่า กรณีการให้เงินค่าปรับปรุงและค่าขนส่งข้าว คืนให้กับผู้ส่งออกมีหลายด้าน บางคนยอมรับว่าได้รับเงินดังกล่าวจริง แต่บางรายไม่ได้รับเงินจำนวนดังกล่าว โดยผู้ที่ซื้อข้าวล็อตนี้ จะได้กำไรจากส่วนต่างราคาตลาด เช่น ข้าวขาวตันละ 1.2 หมื่นบาท ราคาตลาดขณะนี้ 1.28-1.3 หมื่นบาท หรือเฉลี่ยกำไรตันละ 700-800 บาท

นอกจากนี้ ผู้ที่ประมูลข้าวจากรัฐ ยังนำกลวิธี การใช้ B/L หรือ BILL of Ladding ใบขนสินค้ามาเป็นเอกสารยืนยันว่าได้ส่งข้าวลงเรือไปต่างประเทศแล้ว มายืนยันกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อไม่ให้ผิดสัญญา ทั้งที่ความจริงเป็นเอกสารที่ซื้อขายในวงการส่งออกข้าว โดยไม่จำเป็นต้องมีการส่งออกจริง เพื่อนำข้าวที่ไม่ได้ส่งออกไปเสนอขายตามโรงสีอีกทอดหนึ่ง

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ