นายวิจักร  วิเศษน้อย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวถึงภาวะราคาข้าวในตลาดโลกในปี 2553 ว่า โอกาสการค้าข้าวของไทยจะเริ่มเปิดกว้างมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี เนื่องจาก สต็อกในตลาดโลกเริ่มลดลงทำให้ และปริมาณข้าวที่ออกสู่ตลาดโลกเริ่มลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก ทำให้ภาวะการแข่งขันของผู้ค้าในตลาดเริ่มลดลงจากหลังจากมีการแข่งขันอย่างหนักในช่วงต้นปี รวมถึงอินเดีย ซึ่งเป็นหนึ่งในคู่แข่งสำคัญของไทยยังไม่ยกเลิกมาตรการห้ามส่งออกข้าว เพื่อป้องกันปัญหาข้าวขาดแคลนในประเทศ จนถึงเดือน กันยายน 2553  ขณะเดียวกัน ตลาดนำเข้าข้าวสำคัญของไทย  ในกลุ่มประเทศแอฟริกามีสต็อกข้าวลดลง ทำให้ต้องการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ในช่วงต้นที่ผ่านมา ไทยมีการส่งออกข้าวต่ำกว่าทุกปี เนื่องจากราคาข้าวไทยแข่งขันกับคู่แข่งยังสูงมาก โดยเฉพาะเวียดนาม ราคาต่ำกว่าไทยไม่ต่ำกว่า 100 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อตัน จากที่เคยแตกต่างจากไทยเพียง 40 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อตัน รวมถึง การลดค่าเงินดองทำให้สินค้าเวียดนามถูกกว่าไทย ผู้ซื้อบางรายจึงหันไปซื้อข้าวจากเวียดนาม ขณะเดียวกันมีคู่แข่งขันสูงที่เพิ่มเข้ามาในตลาดเริ่มหันมาปลูกข้าวส่งออก อาทิ พม่า และกัมพูชา

“ตัวแปรสำคัญที่จะเป็นโอกาสให้ข้าวไทยกลับมาแข่งขันได้ เนื่องจากไทยปรากฎการณ์เอลนินโญ หรือภาวะโลกร้อนอาจจะมีผลทำให้ความต้องกาวผกผัน ซึ่งอาจจะทวีความรุนแรงทำให้ผลผลิตข้าวในตลาดโลกลดลง ทำให้ประเทศผู้นำเข้าข้าวไทยต้องการข้าวเพิ่มขึ้น เขากล่าว
อธิบดียังกล่าวถึงแผนการทำตลาดของไทยในครึ่งปีหลัง เพื่อระบายสต็อกข้าวของรัฐบาลที่มีอยู่ประมาณ  5.6 ล้านตันว่า จะมีการเดินทางเจรจาการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐมากชึ้น ด้วยการจัดกิจกรรมขยายตลาดข้าวเชิงรุก และประชาสัมพันธ์ข้าวไทย ปีงบประมาณ 2553 ในเบื้องต้นวางแผนไว้ 10  กลุ่ม ประกอบด้วย มาเลเซีย อินโดนีเซีย อินเดีย สิงคโปร์ บังคลาเทศ ออสเตรเลีย มอริเชียสและแอฟริกา อิหร่านและสหรัฐอาหรับอิมิเรตส์ ลิเบียและกานา รวมถึงสหรัฐอเมริกา

“จะมีการโปรโมทข้าวหอมมะลิของไทยมากขึ้น เนื่องจากมีราคาดี และคุณภาพสูง สามารถแข่งขันได้ในตลาดพรีเมี่ยมที่มีกำลังซื้อ โดยเฉพาะฮ่องกง และสหรัฐอเมริกา ส่วนประเทศที่เคยนำเข้าข้าวจากไทย ก็มีโอกาสนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้น เพราะสต็อกข้าวเริ่มลดลงในช่วงกลางปี รัฐบาลไทยจึงเดินหน้าไปเจรจาขายข้าวเชิงรุกมากขึ้น” เขากล่าว

ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์