นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (30 มี.ค.) มีมติอนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ลงนามบันทึกความเข้าใจกับกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของฟิลิปปินส์เรื่องข้าว โดยร่างบันทึกความเข้าใจฟิลิปปินส์จะเปิดตลาดนำเข้าข้าวให้ไทยปริมาณ 3.67 แสนตัน หรือเท่ากับปริมาณการนำเข้าข้าวจากไทยเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี และภายใต้กรอบนี้ฟิลิปปินส์ต้องให้ความสำคัญกับการนำเข้าข้าวคุณภาพดีจากไทยปริมาณ 5 หมื่นตัน โดยหลังจากนี้จะมีการนำร่างบันทึกความเข้าใจดังกล่าวเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ก่อนมีการลงนามต่อไป
นายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า กระทรวงพาณิชย์รายงานว่า ฟิลิปปินส์มีข้อผูกพันสินค้าข้าวภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) ไว้ในบัญชีสินค้าอ่อนไหวสูง โดยกำหนดอัตราภาษีไว้ที่ 40% ไปจนถึงปี 2555 แต่ในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนระหว่างวันที่ 13-14 ส.ค.2552 ที่กรุงเทพฯ ฟิลิปปินส์ ขอคงอัตราภาษีนำเข้าข้าวที่ 40% ไปจนถึงปี 2558 จากนั้นจะลดภาษีลงเหลือ 35% ซึ่งฝ่ายไทยไม่ตกลง จนกระทั่งไทยและฟิลิปปินส์ได้มีการเจรจากันอีกครั้ง และได้ข้อสรุปว่าหากฟิลิปปินส์ ไม่สามารถลดภาษีข้าวได้ ฟิลิปปินส์ต้องชดเชยให้ไทย โดยต้องเปิดตลาดข้าวให้ไทยขั้นต่ำจำนวน 3.67 แสนตัน แบ่งเป็นข้าวคุณภาพดี 5 หมื่นตัน บวกกับข้าวคุณภาพต่ำ 3.17 แสนตัน
พร้อมกันนั้น ที่ประชุม ครม.เห็นชอบให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายเงินชดเชย ส่วนต่างระหว่างราคาประกันและราคาเกณฑ์กลางอ้างอิงให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2552/2553 (รอบที่ 2) หรือข้าวนาปรัง แทนรัฐบาลไปก่อนเป็นการชั่วคราว และรัฐบาลจะจัดสรรงบจากโครงการไทยเข้มแข็งใน ส่วนโครงการประกันรายได้เกษตรกรที่เหลืออยู่ 9 พันล้านบาท คืนให้ ธ.ก.ส.ต่อไป ขณะที่ ธ.ก.ส.จะคิดอัตราดอกเบี้ยเงินที่สำรองจ่ายในอัตรา 1.98% ต่อปี โดยสำนักงบประมาณจะจัดสรรงบให้ต่อไป
นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำที่ จ.สงขลา โดยให้กระทรวงพาณิชย์มอบหมายให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในพื้นที่ ตามราคาเกณฑ์กลางอ้างอิง และให้ส่งมอบข้าวเปลือกที่รับซื้อให้โรงสี ในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง โดยให้รัฐบาลรับภาระค่าขนส่งรถบรรทุกตันละ 800 บาทต่อเที่ยว คิดเป็นเงินรวมประมาณ 40 ล้านบาท และให้เบิกจ่ายงบฯจากโครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือกที่ ครม.อนุมัติไว้แล้วก่อนหน้านี้
นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้มีข่าวออกมาว่า ครม.มีมติให้ตนทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะโรดโชว์ เจรจาขายข้าวให้ประเทศต่างๆ นั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพียงแต่ก่อนหน้านี้ตนได้หารือกับนางพาทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ว่าพร้อมที่จะช่วยเจรจาและเห็นด้วยที่จะไปเปิดตลาดข้าวไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ยังไม่เคยกินข้าวไทย ก็ต้องเดินทางไปหาตลาด
ส่วนประเทศใดที่กินข้าวไทยอยู่แล้วก็ไปเจรจาให้ซื้อเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นวิธีการทางการตลาด พร้อมกันนั้น ตนยังย้ำกับนางพรทิวาว่า เมื่อเวลาที่เหมาะสมตนจะร่วมไปเจรจาเปิดตลาดด้วย แต่กลไกการทำงานนั้นต้องให้กระทรวงต่างประเทศช่วยด้วย
"การที่เราจะขายข้าวให้ใคร เราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ใช่เป็นการตั้งเป้าว่าจะขายกี่กิโลกรัมหรือกี่ตัน ยกตัวอย่างเช่นกรณีมาเลเซีย ผมก็อยากไปคุยกับรัฐบาลมาเลเซีย ที่มีความเข้าใจผิด และมีความน้อยเนื้อต่ำใจว่าในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ไทยตกลงจะขายข้าวให้มาเลเซียในราคาหนึ่ง แต่เวลาขายจริงกลับขายแพงกว่าที่ตกลงกันไว้ ทำให้เขาน้อยใจและไม่ยอมสั่งซื้อขาวจากไทยอีก จากเดิมที่เขาเคยซื้อข้าวไทยปีละ 3-4 แสนตัน ซึ่งเราต้องไปแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต" นายไตรรงค์ระบุ
นายไตรรงค์ ยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีการระบายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล เพราะหากระบายข้าวในขณะนี้จะทำให้ราคาข้าวเปลือกตกต่ำ และมีผลต่อเกษตรกร ตนจึงอยากให้พ่อค้าหาซื้อข้าวจากเกษตรกรมากกว่า เพื่อดึงราคาข้าวในประเทศขึ้นมา ส่วนจะมีการระบายข้าวจะช่วงใดนั้น ไม่สามารถระบุได้ เพราะข้าวในสต็อกยังสามารถเก็บไว้ได้
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
|