นายบรรจง ตั้งจิตรวัฒนากุล อุปนายกสามคมโรงสีข้าวไทยและเป็นเจ้าของกิจการโรงสีข้าว 3 แห่งใหญ่ของจังหวัดพิจิตร กล่าวว่า เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าประเทศไทยจะได้พรรคเพื่อไทยเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลและบริหารประเทศ ซึ่งมีนโยบายรับจำนำข้าวเปลือกให้ราคาตันละ 15,000 บาท ดังนั้นขณะนี้กระแสตอบรับในเชิงบวกของผู้ประกอบการค้าข้าวเพื่อส่งออกและโรงสีในส่วนภูมิภาคจึงมั่นใจว่าราคารับซื้อข้าวจากชาวนาจะขยับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้เนื่องจากจะเป็นไปตามธรรมชาติของห่วงโซ่ธุรกิจ ซึ่งเมื่อราคาข้าวเปลือกจะต้องสูงขึ้นราคาข้าวสารก็จะต้องขยับราคาสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งคาดการณ์ว่าภายใน 7 วันนี้ ราคาข้าวสารบรรจุถุงข้าวสาร 5% ข้าวใหม่ที่ปกติวันนี้ขายอยู่ กก.ละ 14 – 15.50 บาท จะต้องขยับราคาสูงขึ้นไปอีกอย่างน้อย 10% คือ จะไปอยู่ที่ 18 – 19 บาทต่อกิโลกรัม และจะทยอยขึ้นราคาตามมาเรื่อยๆจนไปติดเพดานราคาข้าวสารที่จะต้องขึ้นราคาสูงขึ้นอีกถึง 40% ในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ของปีนี้ เหตุเป็นเพราะช่วงเดือนส.ค.ข้าวนาปรังของ จ.พิจิตร
นอกจากนี้หลายจังหวัดในภาคกลางจะเริ่มเก็บเกี่ยว ซึ่งรัฐบาลเคยบอกว่าเพียงแค่เริ่มรับตำแหน่งหรือเข้าทำงานโครงการต่างๆที่ประกาศไว้รวมถึงราคารับจำนำข้าวก็จะทำได้เลย เพราะฉะนั้นเมื่อข้าวนาปรังออกรัฐบาลก็ต้องทำตามที่ประกาศนโยบายไว้ สำหรับราคาข้าวสารวันนี้ “เฮียเซียะ” อุปนายกสามคมโรงสีข้าวไทยและเป็นเจ้าของกิจการโรงสีข้าว 3 แห่งใหญ่ของจังหวัดพิจิตร ให้ข้อมูลว่าข้าวารซื้อขายกันอยู่ทีราคา 500 เหรียญ แต่ถ้าข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท ข้าวสารก็จะต้องขยับราคาไปจนถึง 800 เหรียญ ( ส่งออก )
นายบรรจง กล่าวอีกว่า ราคาข้าวเปลือกคงจะเป็นราคาในช่วงข้าวนาปีที่สำคัญรัฐบาลนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะต้องเฟ้นหา รมต.พาณิชย์ และ ทีมรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลเรื่องราคาข้าวให้ต้องเป็นผู้มีคุณภาพรู้จริงทำเป็นมิเช่นนั้นอาจเป็นโครงการพับเพียบไทยแลนด์ ที่จะส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลเพราะชาวนาตั้งความหวังเอาไว้มากกับโครงการรับจำนำข้าว ซึ่ง “เฮียเซียะ” ยืนยันแบบชอบอกชอบใจว่า โครงการรับจำข้าวเป็นการซื้อก่อนแล้วขายที่หลัง รัฐบาลอาจต้องจ่ายบ้างแต่ก็ยังมีข้าวสารอยู่ในโกดัง
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาโครงการประกันรายได้เกษตรกร โรงสีต้องขายข้าวสารได้ก่อนจึงจะซื้อข้าวเปลือก เพราะรัฐบาลที่ผ่านมาทำตัวเป็นเจ้ามือใหญ่ยอมขาดทุนจ่ายเงินถึงมือชาวนาแต่ไม่มีข้าวสารเก็บไว้ในสต๊อกให้ตามทุน อีกทั้งการขึ้นทะเบียนชาวนาก็มีมากเกินความเป็นจริง จึงทำให้ต้องหมดเงินไปถึง 7 หมื่นล้านบาท แล้วก็ไม่เหลือข้าวสารไว้ให้ตามทุนคืนได้อีกด้วย แต่โครงการจำนำจะตรงกันข้าม
ด้าน นางพรรัตน์ บุญเล้า เจ้าของธุรกิจร้านขายข้าวสาร “เล่ากิมเฮง” ซึ่งตั้งอยู่ที่บริเวณศูนย์การค้าพิจิตรพลาซ่า กล่าวว่า ยังคงขายข้าวสารในราคาปกติ เพราะยังมีสต็อกเก่าอยู่ แต่ก็ได้รับสัญญาณจากโรงสีมาเช่นกัน ว่า ข้าวจะขึ้นราคาซึ่งก็จะต้องขายแบบขึ้นตามขึ้น ลงตามลง แต่ยอมรับว่าช่วงนี้ชาวบ้านเริ่มตื่นตัวซื้อข้าวสารกันคราวละมากๆ อีกทั้งแม่ค้าขายข้าวแกง หรือร้านอาหาร จากที่เคยซื้อครั้งละ 1 ถุง ก็ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาซื้อข้าวสารที่บรรจุถุงกันคราวละมากๆๆขึ้น อาจเป็นเพราะรู้ถึงกระแสห่วงโซ่ธุรกิจข้าวที่ข้าวเปลือกจะขึ้นราคาแล้วข้าวสารก็จะขึ้นราคาตามไปด้วย ซึ่งผู้บริโภคก็ต้องยอมรับกับภาระค่าใช้จ่าย – ค่าข้าวสาร ที่จะต้องกินทุกวันว่าขึ้นราคาอย่างแน่นอนด้วยเช่นกัน
ที่มา โพสต์ทูเดย์
|