วันที่ 4 กันยายน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดแถลงข่าว “กลับไปสู่การจำนำข้าวเปลือก” โดย ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร และดร.อัมมาร สยามวาลา ณ ห้องประชุมชั้น 2 สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ซอยรามคำแหง 39 โดยตั้งคำถามถึงรัฐบาลเกี่ยวกับผลกระทบของโครงการรับจำนำข้าวเปลือก และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทางเศรษฐกิจ รวมถึงแนวทางบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ดร.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ให้ความเห็นว่า รัฐบาลเพื่อไทย โดยมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มีนโยบายพรั่งพรูออกมาก โดยไม่คิดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นในระยะยาว หนึ่งในนั้นคือ มาตรการรับจำนำข้าว ซึ่งในอนาคตจะสร้างภาระการคลังให้กับประเทศ
"นโยบายของรัฐบาลชุดนี้ต่างจากนโยบายในยุคทักษิณ ที่ทักษิณพูดแล้วทำ เวลานี้ผมเห็นนักการเมืองกำลังหันซ้ายหันขวาในการแก้ปัญหานโยบายที่ได้หาเสียงไว้กับประชาชน และโม้ไปวันๆ ผมอยากตั้งฉายารัฐบาลนี้ดีแต่โม้"
เขายกตัวอย่างกรณีรับจำนำข้าว โดยระบุว่า เขาไม่เห็นด้วยตั้งแต่ออกแบบนโยบายนี้ขึ้นมา เพราะจะสร้างปัญหาภาระการคลังในอนาคต แต่รัฐบาลก็เดินหน้านโยบายนี้ เพราะได้สัญญากับประชาชนว่าจะรับจำนำข้าวในราคา 1.5 หมื่นบาท
"มันยากที่จะเยียวยาหรือเกินวิสัยที่ทีดีอาร์ไอจะไปเสนอแนะวิธีการแก้ไขปัญหาให้กับรัฐบาล"
ดร.อัมมาร ให้ความเห็นว่า ปัญหาหลักๆของนโยบายการรับจำนำข้าวคือการบริหารจัดการสต็อกข้าว แต่เขาก็ไม่เถียงว่านโยบายการรับจำนำข้าวของรัฐบาลจะช่วยให้ราคาข้าวสูงขึ้น และช่วยยกระดับรายได้ของชาวนา ซึ่งเชื่อว่าในช่วง 3-4 เดือนข้างหน้าราคาข้าวน่าจะสูงขึ้น แต่ราคาข้าวที่สูงขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลก็จะต้องเข้าไปรับจำนำไปเรื่อยๆ ซึ่งกลายเป็นดินพอกหางหมู
"ผมกลัวว่าหากราคาข้าวสูงขึ้น คนก็จะหันมาปลูกข้าวกันมาก คุณภาพของข้าวก็จะต่ำลง และสต็อกข้าวรัฐบาลก็จะสูงขึ้น ถามว่าจะมีอำมาตย์หน้าไหนออกมาบอกให้ประชาชนปลูกข้าวน้อยลง ผมว่าเป็นเรื่องฝันกลางวันที่จะบอกให้ชาวนาจำกัดการปลูกข้าว"นักวิชาการเกียรติคุณทีดีอาร์ไอกล่าว
ดร.อัมมาร กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะพยายามออกมาตรการมาแก้ปัญหาการสวมสิทธิ์โดยโรงสีแทนชาวนา ด้วยการออกบัตรเครดิตนั้น ตนก็ไม่แน่ใจว่า รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรหรือแก้ไขปัญหานี้ได้
“กิจกรรมใหญ่ของการจำนำข้าว คือการสต๊อกข้าว การจัดการกับการสต๊อกข้าว ผมไม่เถียง และเถียงไม่ได้ที่รัฐซื้อข้าวในปริมาณที่สูงจะยกระดับราคาข้าว เชื่อว่า 3-4 ปีข้างหน้า ราคาข้าวจะขึ้น หากต้องการให้สูงขึ้นมากๆ ถึงร้อยละ 50 จากระดับราคาปัจจุบัน ที่ถูกดันให้สูงขึ้นจากการเก็งกำไรของพ่อค้า อย่างไรก็ตามยิ่งซื้อมาก แต่พอได้ข้าวมาอยู่ในสต๊อกแล้วคุณต้องการจะทำอย่างไรกับข้าว นี่คือคำถามที่ผมมี รัฐบาลตั้งใจจะทำอะไร และมีมาตรการอะไร”
ดร.อัมมาร กล่าวอีกว่า หากรัฐบาลต้องการให้ราคาข้าวในต่างประเทศสูงขึ้น ต้องไม่ระบายข้าวออก ซึ่งช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์ เมื่อนำโครงการประกันมาใช้แรกๆ ก็มีข้าวค้างสต๊อกที่เหลือจากโครงการจำนำ จนต้องต่อโครงการนี้ไปอีก 2 ฤดู มีข้าวกองอยู่ 5 ล้านตัน ไม่กล้าระบายออก เพราะทำให้ราคาตก
"ข้าวที่มีการสต๊อกเพิ่มขึ้นทุกปี เป็นเหมือน "ดินพอกหางหมู" มีปัญหาเรื่องการจัดการ ซึ่งรัฐบาลคิดว่าแก้ปัญหาได้ ด้วยการจัดระเบียบการส่งออก อันนี้เป็นฝันกลางวันของนักการเมืองแทบทุกคน แทบทุกพรรคว่าจะจัดการขายข้าวในราคาสูงขึ้นได้ แต่ก็พบว่า ประสบความล้มเหลวมาโดยตลอด หรือต้องร่วมมือกับต่างประเทศคู่แข่ง ผมคิดว่า คือ การเปิดให้โอกาสให้เวียดนามหลอกเราได้"
ไทยถูกเวียดนามหลอกให้ตั้งราคาข้าวสูง
ด้านดร.นิพนธ์ กล่าวถึงโครงการจำนำข้าวในอดีต นอกจากการแทรกแซงตลาดข้าวด้วยนโยบายรับจำนำข้าวเปลือกในราคาสูงแล้ว รัฐบาลทักษิณยังพยายามจัดระเบียบการส่งออก เพื่อให้ไทยสามารถขายข้าวส่งออกได้ในราคาแพงขึ้น โดยเฉพาะการจัดตั้งคณะมนตรีความร่วมมือการค้าข้าว 5 ประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ล้มเหลว เพราะในที่สุดแล้ว ไทยถูกเวียดนามหลอกให้ตั้งราคาข้าวสูง ขณะที่เวียดนามแอบตัดราคาและเพิ่มยอดขายข้าว จนทำให้ส่วนแบ่งตลาดของไทยลดลง
“หรือการขายข้าวรัฐให้ผู้ส่งออกรายเดียว (เพรซิเดนท์อะกริ) 1.68 ล้านตัน ในปี 2547 ซึ่งในรายงานของวุฒิสภาในปี 2548 บริษัทรับมอบเพียง 0.95 ล้านตัน ส่งออกเพียง 0.59 ล้านตัน และขายข้าว 4-5 ล้านตันให้บริษัทในประเทศเพื่อส่งออก หลังขอแก้สัญญา โดยตัดเงื่อนไข ผู้ซื้อตกลงซื้อข้าวตามโครงการรับจำนำ เพื่อส่งออกไปราชอาณาจักร” ดร.นิพนธ์ กล่าว และว่า นอกจากนั้น ยังมีการลดวงเงินในสัญญาค้ำประกัน บริษัทรับมอบข้าวใหม่ที่ขายได้ราคาดีกว่าข้าวเก่า อีกทั้งยังไม่สามารถรับมอบข้าวที่ประมูลได้ทั้งหมด สรุปคือ นโยบายขายข้าวให้ผู้ส่งออกรายเดียวจึงล้มเหลว
ส่วนนโยบายกำหนดให้ผู้ส่งออกต้องขายราคาขั้นต่ำกว่า 45 ปีนั้น ประธาน ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ก็ได้ผลแค่ในนามเท่านั้น ดังนั้นแม้ไทยจะเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ แต่การที่ข้าวไทยราคาสูงขึ้นจากการรับจำนำนั้น ได้ทำให้คู่แข่งได้ประโยชน์ ทั้งจากการส่งออกเพิ่มในราคาสูงขึ้น และตัดราคาต่ำกว่าไทย ทำให้ไทยสูญเสียส่วนแบ่งตลาด
หวั่นก่อหนี้พุ่ง
ดร.นิพนธ์ กล่าวถึงภาระหนี้สินจากโครงการจำนำในอดีต เกิดค่าใช้จ่ายแฝง และหนี้สินนานหลายปี เพราะมีข้าวค้างสต๊อกจำนวนมาก เกิดภาระหนี้สินปลายเปิด (Contingent liability) 1.42 แสนล้านบาท (ณ ก.ค.2554) โดยหนี้ก้อนนี้ถูกซุกไว้เป็นบัญชีจำแลงนอกงบประมาณแผ่นดิน ที่ธกส.
"ข้าวค้างสต๊อกในโครงการรับจำนำปี 2547/48-2549/50 มีอยู่ 10.33 ล้านตัน สามารถระบายได้ 5.49 ล้านตัน และมีข้าวค้างสต๊อกถึง 4.84 ล้านตัน ซึ่งเวลานี้คงไม่มีข้าวแล้ว เพราะข้าวที่ค้างสต๊อกนานๆ ก็เหมือนการนำข้าวไปทิ้งทะเล เพียงแต่เราต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเช่าโกดังเท่านั้นเอง"
นอกจากนี้ ดร.นิพนธ์ ยังกล่าวถึงผลกระทบต่อโครงสร้างตลาดข้าวไทย ที่จะทำให้ชาวนาหันมาผลิตข้าวอายุสั้นที่มีคุณภาพต่ำเพื่อจะได้นำข้าวสู่โครงการจำนำปีละหลายครั้ง ข้าวพม่า ข้าวเขมรจำนวนมากจะทะลักเข้าสู่โครงการนี้ ขณะเดียวกันโรงสีในโครงการจะได้กำไร โดยไม่ต้องใช้ฝีมือในการค้าขาย และได้เปรียบโรงสีนอกโครงการ พ่อค้าท้องถิ่นหันมาทำธุรกิจโรงสี จนทำให้ตลาดกลางสูญพันธุ์
"โครงการรับจำนำข้าวเปลือกในราคาสูงจึงสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจข้าวไทย ชาวนาผลิตข้าวคุณภาพต่ำขายให้รัฐบาลด้วยต้นทุนสูงขึ้น ไทยเริ่มสูญเสียส่วนแบ่งตลาดให้คู่แข่ง เกิดกระบวนการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนเกินจากเงินแทรกแซงของรัฐ ขณะที่รัฐสร้างภาระหนี้แบบปลายเปิดให้คนรุ่นหลัง ทั้งนี้ ผลประโยชน์ตกอยู่ที่ชาวนาเพียง 38% ที่เหลือส่วนใหญ่ตกอยู่กับพ่อค้า ผู้ส่งออก โรงสี เจ้าของโกดัง เกิดกระบวนการแสวงหาผลประโยชน์ก้อนนี้ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเลย”
ที่มา กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
|