นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานความเสียหายเบื้องต้นจากเหตุน้ำท่วมในพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศที่ 8.5 ล้านไร่ หรือคิดเป็นปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกประมาณ 4-5 ล้านตัน โดยพื้นที่เพาะปลูกข้าวสำคัญของประเทศ เช่น ลพบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง ชัยนาท นครสวรรค์ พิษณุโลก ถูกน้ำท่วมขังนานกว่า 1 เดือน อีกทั้งชาวนาส่วนใหญ่ยังไม่ได้เก็บเกี่ยวผลผลิต จึงคาดว่าปริมาณข้าวที่เข้าโครงการรับจำนำนาปี 54/55 อาจจะน้อยกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้
   
“รัฐบาลยังยืนยัน จะเปิดโครงการจำนำข้าวจากชาวนาทุกเม็ดเหมือนเดิม แต่ด้วยเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นรุนแรงและยาวนาน ทำให้พื้นที่นาในภาคกลางบางส่วนได้รับความเสียหาย จึงอาจทำให้จำนวนข้าวที่เข้ามารับจำนำต่ำกว่าเป้าหมายที่คาดไว้ 24-25 ล้านตัน แต่อย่างไรก็ดี รัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยาช่วยเหลือชาวนาที่ถูกน้ำท่วม เพื่อให้กลับมาเพาะปลูกและมีรายได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และขอให้ผู้บริโภคไม่ต้องตกใจ เพราะรัฐดูแลให้มีข้าวบริโภคเพียงพอ ไม่ขาดแคลนอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลจะดูแลการบริโภคภายในเป็นหลัก”
   
ทั้งนี้จากปริมาณผลผลิตที่เสียหายจำนวนมาก จะทำให้ทิศทางราคาข้าวทั้งในและต่างประเทศทยอยปรับขึ้นได้ต่อ หลังจากได้ขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากผลผลิตข้าวทั่วโลกลดน้อยลง ทั้งในไทย เช่นเดียวกันกับเวียดนามที่ประสบปัญหาน้ำท่วม ส่วนอินเดียแม้จะเริ่มกลับมาส่งออกแต่คงทำได้ไม่เต็มที่เพราะผลผลิตส่วนเกินเหลือน้อย ประกอบกับฟิลิปปินส์และหลายประเทศ  ยังต้องการซื้อข้าวในระดับสูง ดังนั้น ต่อไปราคาข้าวสำหรับส่งออกจึงปรับขึ้น และไทยไม่จำเป็นต้องขายข้าวในราคาต่ำอีก สำหรับการดูแลราคาในประเทศ รัฐบาลจะมีมาตรการออกมาเพื่อให้ราคาข้าวที่สูงขึ้นไม่เป็นภาระต่อประชาชนมากเกินไป
   
ด้าน น.ส.อนุตตมา อมรวิวัฒน์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมครม. อนุมัติกรอบการแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลอินโดนีเชีย และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลบังกลาเทศ โดยมอบหมายให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ หรือผู้ที่ได้มอบหมายไปลงนามในข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งรูปแบบการขายเป็นการเจรจาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) คาดว่าจะเสนอให้ลงนามในข้อตกลงได้ในช่วงการประชุมอาเซียนซัมมิท ที่ประเทศอินโดนีเซีย                                                       
   
“ได้มอบหมายให้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เป็นผู้เจรจาตามยุทธศาสตร์การระบายข้าวในสต๊อกของรัฐ บาลที่ได้รับความเห็นชอบจากประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) โดยผลการเจรจาต่อรองสุดท้ายจะเสนอให้คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวเห็นชอบต่อไป”
   
สำหรับบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลอินโดนีเชียนั้น ได้ลงนามไป เมื่อวันที่  26 ธ.ค. 49 ซึ่งจะหมดอายุลงในเดือนธ.ค. 54 นี้ ซึ่งรัฐบาลไทยและอินโดนีเชีย โดยมีข้อตกลงที่จะขายข้าวขาว 15-25% ปริมาณไม่เกิน 1 ล้านตันต่อปี ระหว่างปี 49-54 และจะขยายเวลาออกไปอีก ส่วนบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลบังกลาเทศนั้น เป็นบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่ ซึ่งบังกลาเทศแสดงความต้องการซื้อขายข้าวนึ่งปริมาณไม่เกิน 1 ล้านตันต่อปี ระหว่างปี 54-56 มีเงื่อนไขขึ้นอยู่กับสถานการณ์การผลิตข้าวของแต่ละประเทศ และระดับราคาซื้อขายในตลาดโลก โดยให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นหน่วยดำเนินการ
   
นอกจากนี้ ครม. ยังอนุมัติให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จ่ายเงินสำรองให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 54/55 จำนวน 10 ล้านตัน วงเงิน 3,818.818 ล้านบาท ไปก่อนจนกว่าจะได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปี 55 เนื่องจากโครงการรับจำนำเป็นเรื่องเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องรีบดำเนินการให้ทันภายในวันที่ 7 ต.ค.นี้ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายในการรับฝาก รับจำนำ และเก็บรักษาข้าวเปลือก และข้าวสารด้วย
   
นายวรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก รมช.พาณิชย์เงา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายกิตติรัตน์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ออกมาท้าลาออกจากตำแหน่ง หากโครงการจำนำสินค้าเกษตรล้มเหลวและใช้เงินมากกว่าโครงการประกันรายได้ของรัฐบาลชุดก่อนว่า ข้อเท็จจริงโครงการจำนำข้าวรัฐบาลจะทำหน้าที่เป็นพ่อค้าขายข้าวเอง จึงไม่สามารถเปรียบเทียบกับโครงการประกันรายได้ ดังนั้นหัวใจสำคัญในการติดตามโครงการจำนำข้าวคือ เรื่องทุจริต และการที่นายกิตติรัตน์ ท้าลาออกและอ้างตัวเลขขาดทุนคงไม่พอ นายกิตติรัตน์ ต้องบอกด้วยว่าถ้าเกิดการโกงจะลาออกด้วย.

ที่มา เดลินิวส์