แหล่งข่าววงการค้าข้าว เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงสถานการณ์ค้าข้าวหลังหยุดเทศกาลปีใหม่ว่าเปิดตลาดวันแรกวันที่ 3 มกราคม การซื้อขายข้าวค่อนข้างเงียบเหงา โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน)ยังไม่มีการซื้อขายแต่อย่างใด ขณะที่ข้าวขาวมีการซื้อขายราคาทรงตัวเท่ากับช่วงปลายปีที่แล้ว กล่าวคือข้าวขาว5% กระสอบละ 1,430 บาท ข้าวขาว 100% กระสอบละ 1,470 บาท  ปลายข้าวกระสอบละ 1,050 บาท หอมปทุมกระสอบละ 2,100 บาท (ขนาดบรรจุกระสอบละ 100 กก.) แต่มีผู้ส่งออกบางรายพยายามต่อรองราคาลง โดยข้าวขาว 5% ต้องการซื้อกระสอบละ 1,420 บาท
 
"สาเหตุที่การซื้อขายข้าวค่อนข้างเงียบ อาจเป็นเพราะว่าช่วงปีที่ผ่านมารัฐบาลได้ระบายสต๊อกข้าวออกมาจำนวนมากรวมแล้วเกือบ 5 ล้านตัน ผู้ส่งออกหลายรายมีสต๊อกข้าวของรัฐบาลอยู่จำนวนมากจึงออกมาซื้อน้อย ส่งผลให้ราคาข้าวเปลือกต่ำกว่าราคาประกันรายได้ของรัฐบาลทั้งข้าวเปลือกเจ้าและข้าวเปลือกเหนียว โดยข้าวเปลือกเจ้าสดตันละ 7,800 บาท ข้าวเปลือกเจ้าแห้งตันละ 8,800 บาท (ราคาประกันรายได้ตันละ 10,000 บาท) ข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 13,500 บาท (ราคาประกันตันละ 15,300 บาท)"
 
แหล่งข่าววงการโรงสีข้าวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้ความเห็นว่ารัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ ควรจะจัดตลาดนัดซื้อขายข้าวสารโดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ เพราะเวลานี้ข้าวหอมมะลิที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ซื้อในห้างสรรพสินค้าเฉลี่ยกก.ละประมาณ 40 บาท ทั้งที่ต้นทุนข้าวจากโรงสีที่ขายให้กับผู้จำหน่ายข้าวถุงเฉลี่ยอยู่ที่กก.ละ 27 บาทเท่านั้น เท่ากับผู้บริโภคกินข้าวแพงกว่าความเป็นจริงกก.ละกว่า 10 บาท หากจัดตลาดนัดซื้อขายผู้บริโภคจะได้ซื้อข้าวสารราคาถูก และโรงสีมีแหล่งระบายข้าวด้วย เมื่อโรงสีสามารถระบายข้าวได้มากขึ้นจะช่วยดันราคาข้าวเปลือกให้สูงขึ้น รัฐบาลไม่ต้องมีภาระจ่ายชดเชยส่วนต่างเงินประกันรายได้
 
แหล่งข่าวเผยเพิ่มเติมถึงแนวโน้มราคาข้าวว่า มีโอกาสที่จะสูงขึ้นได้อีกทั้งข้าวขาวและข้าวหอมมะลิ เพราะปีที่ผ่านมาหลายประเทศประสบภัยธรรมชาติทั้งภัยแล้ง น้ำท่วม ผลผลิตข้าวลดลง มีข่าวว่าขณะนี้ที่เมืองซัวเถา สาธารณรัฐประชาชนจีน การสั่งซื้อข้าวสารจะต้องมีการจองล่วงหน้า หากไปซื้อทันทีจะไม่ได้ข้าว หากจีนมีการนำเข้าข้าวเพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อทิศทางราคาข้าวขาขึ้นอย่างแน่นอน

ที่มา ฐานเศรษฐกิจ