นางปัจฉิมา ธนสันติ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า ตนได้นำคณะผู้แทนไทยเดินทางไปยังสหภาพยุโรป (อียู) เพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจกับหน่วยงานในอียู 5 ประเทศ ได้แก่ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม อังกฤษ และฝรั่งเศส ทั้งกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงเศรษฐกิจ และภาคเอกชน เช่น ผู้นำเข้า สมาพันธ์ผู้สีข้าวของอียู ซึ่งเป็นผู้ยื่นคัดค้านคำขอจดทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลร้องไห้ของไทยในอียู

โดยในการหารือไทยได้เสนอปรับแนวทางการยื่นคำขอจดจีไอ โดยจะยื่นจดทั้งคำว่า “ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้” แต่จะขอรับความคุ้มครองเฉพาะคำว่า “ทุ่งกุลาร้องไห้” เพื่อไม่ให้กระทบต่อการทำตลาดของข้าวหอมมะลิไทย เพราะผู้ที่คัดค้านเกรงว่าหากไทยได้รับจดจีไอแล้ว จะทำให้ไม่สามารถใช้คำว่า “ข้าวหอมมะลิ” ได้อีก หลังจากผู้ค้าเหล่านี้ได้สร้างแบรนด์ข้าวหอมมะลิจนติดตลาดในยุโรปแล้ว ซึ่งไทยยืนยันว่าจะขอรับการคุ้มครองเฉพาะคำว่าทุ่งกุลาร้องไห้เท่านั้น

ส่วนในประเด็นการระบุเงื่อนไขว่า ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ที่ขึ้นทะเบียนเป็นสินค้าจีไอจะต้องบรรจุในพื้นที่ที่เป็นแหล่งผลิตเท่านั้น ไทยได้ชี้แจงว่า เป็นการป้องกันการปนเปื้อน ป้องกันแมลง เช่น มอด ซึ่งทำลายข้าวเมื่อมีความชื้นสูง และยังเป็นการตรวจสอบแหล่งที่มา เพื่อสงวนความหอม ซึ่งเป็นคุณลักษณะเฉพาะของข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งยืนยันให้มีการดำเนินการเช่นนี้ต่อไป

"ส่วนข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้อง หรือข้าวพรีเมียมเกรดอื่นๆ ไทยไม่คัดค้าน หากผู้ประกอบการในอียูนำเข้าข้าวจากไทยไปบรรจุใหม่ เพื่อทำการแข่งขันกับข้าวชนิดอื่น แต่ต้องมีระบบตรวจสอบย้อนกลับที่มาจากแหล่งไทยจริง เพื่อป้องกันชื่อเสียงข้าวไทยเสียหาย โดยมั่นใจว่า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรอีกแล้ว เพราะได้ทำความเข้าใจกับผู้ที่คัดค้านจนเข้าใจตรงกันแล้ว โดยคาดว่าภายในปีนี้ไทยจะจดทะเบียนจีไอข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ได้แน่” นางปัจฉิมากล่าว

ทั้งนี้ การจดจีไอข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ จะเป็นประโยชน์กับเกษตรกรของไทย ขณะนี้มีเกษตรกรจดทะเบียนเป็นผู้ผลิตจีไอแล้วประมาณ 1,000 ราย พื้นที่ประมาณ 1 หมื่นไร่ และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้น

ที่มา คมชัดลึก