นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังการประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบและติดตามการรับจำนำข้าว ว่า ในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ ตนจะนำคณะตรวจสอบและติดตามการรับจำนำ และคณะกรรมการกำกับการรับจำนำ เดินทางไปตรวจความพร้อมเตรียมรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2554/55 หลายจังหวัดในภาคอีสาน ซึ่งปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกภาคอีสานจะเริ่มออกสู่ตลาดแล้วปลายเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมนี้ กว่า 10 ล้านตันข้าวเปลือก

ทั้งนี้ จากการเปิดรับจำนำตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้รับการร้องเรียนส่วนใหญ่ในเรื่องโรงสีไม่เพียงพอ และข้าวที่รับจำนำต่ำกว่าความเป็นจริง จึงเห็นชอบให้พิจารณาเปิดโรงสีข้ามเขตได้ หากจังหวัดใดไม่มีโรงสีเพียงพอ และเร่งรัดให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) เร่งทำสัญญาเปิดจุดโรงสีในพื้นที่มีจำนวนโรงสีน้อยภายในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้ หลังจากนั้นหากพื้นที่ใดยอดจำนำมากก็จะเปิดข้ามเขตเลย ขณะนี้เปิดข้ามเขตแล้วใน จ.ลำพูน ส่วนเรื่องการทุจริตนั้นยังไม่พบการกระทำผิดร้ายแรงถึงต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาด เพียงเป็นความผิดพลาดทางเทคนิคก็ให้เร่งแก้ไข

นายภูมิ กล่าวว่า นอกจากนี้ตนได้เห็นชอบให้ปรับหลักเกณฑ์การรับจำนำใหม่ ในด้านปริมาณรับจำนำ หลังเกษตรกรร้องขอ โดยเปิดรับจำนำเต็มจำนวนตามตัวเลขผลผลิตสูงสุดของจังหวัดที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้ว บวกกับจำนวนไร่ที่ชาวนาครอบครองจริง จากเดิมจะคิดจากค่าเฉลี่ยผลผลิตรวมทั้งประเทศได้ประมาณ 550 กิโลกรัม/ไร่ แต่บางพื้นที่ค่าเฉลี่ยสูงถึง 800-1,000 กิโลกรัม/ไร่ ซึ่งหากรายใดมีการจำนำข้าวในปริมาณที่สูงกว่าตัวเลขผลผลิตสูงสุด ก็ให้เกษตรกรรายนั้นเซ็นรับรองตนเอง หากตรวจพบภายหลังแจ้งข้อมูลเป็นเท็จ จะถูกดำเนินการตามกฎหมาย

“การเพิ่มหลักเกณฑ์รับจำนำข้าวจากผลผลิตสูงสุดของจังหวัด เชื่อว่าไม่กระทบต่องบประมาณที่จะใช้รับจำนำ 4 แสนล้านบาท เพราะที่ผ่านมาที่มียอดจำนำแล้วกว่า 5 แสนตัน แต่ละรายก็มีข้าวจำนำในจำนวนไม่สูงมากนัก แต่ก็มีข้าวในหลายพื้นที่ที่แจ้งว่าผลผลิตปีนี้ดีขึ้น ก็ควรปรับหลักเกณฑ์ให้สอดคล้องและเข้าใจในทางปฏิบัติ” นายภูมิ กล่าว

ส่วนความคืบหน้าการจัดทำข้าวถุงธงฟ้า (5 กิโลกรัม/ถุง) นั้น ยืนยันว่าจะเดินทางดำเนินการต่อ เพราะเป็นสิ่งจำเป็นต่อการลดค่าครองชีพประชาชนและช่วยเหลือประชาชนประสบภัยน้ำท่วม คาดว่าจะวางขายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้ โดยอยู่ระหว่างการผลิตและกำหนดราคาขาย

ที่มา สำนักข่าวไทย