นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่นายพิชัย  นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เสนอแนวทางนำข้าวแลกน้ำมัน ว่า ในขณะนี้นายพิชัย ยังไม่ได้เสนอเรื่องดังกล่าวมาให้พิจารณา แต่ในหลักการยอมรับว่าสามารถดำเนินการได้ ในลักษณะการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน แต่จะสามารถดำเนินเป็นนโยบายเลยหรือไม่ ต้องมีการศึกษาข้อมูลความเป็นไปได้ก่อน  ทั้งนี้ยืนยันหากศึกษาแล้วพบว่าสามารถดำเนินการได้ จะไม่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบอย่างแน่นอน เพราะการเจรจาที่จะต้องดำเนินการนั้น รัฐบาลไทยจะต้องดูแลให้เกิดความเหมาะสมในเรื่องปริมาณข้าวที่ต้องแลกกับปริมาณน้ำมันที่นำเข้ามา
 
สำหรับในการประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม.ในวันพรุ่งนี้ จะมีการพิจารณาเรื่องหลักเกณฑ์การรับจำนำข้าว ทั้งเรื่องราคารับจำนำและรายชื่อคณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ หรือ กขช. ทั้ง 6 ชุด รวมทั้งการจัดตั้งคณะกรรมการ อคส. ใหม่หลังจากที่ล่าสุด คณะกรรมการทั้งชุดยื่นใบลาออก โดยมีรายงานว่า นายอนุกูล แต้มประเสริฐ ผู้อำนวยการ อคส. จะยื่นใบลาออกในวันพรุ่งนี้

และในงานสัมมนาเรื่อง Eyes on Africa จัดโดยกรมส่งเสริมการส่งออก นายกิตติรัตน์  ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “จับตา คว้าโอกาส ตลาดแอฟริกา” ว่า กระทรวงพาณิชย์ยังคงตั้งเป้าการส่งออกในปีนี้อยู่ที่ร้อยละ 15 เช่นเดิม แม้ว่าเศรษฐกิจโลกยังคงไม่ฟื้นตัวขึ้น ทั้งสหรัฐ ยุโรป เนื่องจากที่ผ่านมาไทย ได้หาตลาดการส่งออกใหม่ ๆ  มาทดแทนมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศในแถบแอฟริกา ที่ยังมีการนำเข้าสูง ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายในการส่งออกสินค้าไปแอฟริกาในปีนี้ประมาณร้อยละ 10 ของการส่งออกทั้งหมด หรือคิดเป็นมูลค่า 7624 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 
 
สำหรับมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับแอฟริกาในช่วง 7 เดือนที่ผ่านมา ไทยได้ดุลการค้าถึง 3,009.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีมูลค่าการส่งออก ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกรกฎาคม 2554 จำนวน 4404.96 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 21.51 และมูลค่าการนำเข้าอยู่ที่ 1395 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 46.47  โดยสินค้าที่มีอัตราการขยายตัวการส่งออกได้แก่ ข้าว เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ และเม็ดพลาสติก โดยประเทศในภูมิภาคแอฟริกาที่ไทยส่งออก 5 อันดับแรก ได้แก่ แอฟริกาใต้ ไนจีเรีย อียิปต์ กานา และโกตดิวัวร์
 
พร้อมกันนี้แอฟริกายังเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เพราะมีประชากรสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยมีประชากรกว่า 930 ล้านคน ซึ่งที่ผ่านมาภูมิภาคนี้ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากต่างประเทศ โดยในปี 2554 กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่า แอฟริกาจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจประมาณร้อยละ 5.2 ซึ่งในปัจจุบันประเทศในภูมิภาคแอฟริกามีนโยบายสนับสนุนและเปิดรับนักธุรกิจเข้าไปลงทุน จึงเป็นโอกาสของนักลงทุนไทย เนื่องจากสินค้าไทย เป็นสินค้าที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสมเป็นที่ต้องการของชาวแอฟริกา

ที่มา สำนักข่าวไทย