นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กำลังติดตามสถานการณ์แผ่นดินไหว เกิดคลื่นยักษ์สึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ได้รับความเสียหาย อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินผลกระทบว่า มีผลต่อการค้าและการลงทุนของไทยที่เข้าไปทำตลาดในญี่ปุ่นอย่างไร เบื้องต้นยังไม่ได้รับรายงาน จึงไม่สามารถคาดการณ์ตัวเลขความเสียหายได้ แต่หลังจากที่ได้หารือกับทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่ในญี่ปุ่นทั้ง 3 สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (สคร.) แล้ว คือ โตเกียว โอซากา และฟูกูโอกะ แล้ว จะนำข้อมูลมาประเมินแล้วหามาตรการช่วยเหลือต่อไป "ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ไทยทั่วโลกเตรียมความพร้อมและติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยให้รายงานกลับมาทุกสัปดาห์ เพื่อหาแนวทางรับมือได้ทัน เพื่อปรับแผนรับมือการส่งออกไม่ให้กระทบเป้าหมายเติบโตที่ตั้งไว้ 10% หรือ 209,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ"
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ดังกล่าวคาดว่าจะมีการส่งออกสินค้าในกลุ่มอาหารเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวไทย โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิไทยไปญี่ปุ่น ที่ผ่านมามีการตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวไทยไปญี่ปุ่น ในปีนี้จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็น 400,000 ตัน จากในปีก่อนที่มีการส่งออกจำนวน 300,000 ตัน และเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ยอดคำสั่งซื้อทั้งหมดอาจหายไป
อย่างไรก็ตาม จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันจันทร์ที่ 14 มี.ค. ช่วยเหลือบริจาคข้าวสารให้ประเทศญี่ปุ่น 50,000 ตัน เป็นข้าวเหนียว 20,000 ตัน และข้าวหอมปทุมธานีอีก 30,000 ตัน
ด้านนางพิมพ์ใจ มัตสุโมโต้ ผู้อำนวยการสถาบันวัฒนธรรมไทยศึกษา ณ กรุงโตเกียว และกรรมการผู้จัดการ บริษัท พีแอนด์ เอฟ เทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า ไม่รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะรัฐบาลญี่ปุ่นได้สร้างระบบป้องกันภัยและการช่วยเหลือไว้เป็นอย่างดีเยี่ยม "ยังไม่มีผู้นำเข้าสินค้ารายใดยกเลิกคำสั่งซื้อ ในทางกลับกันต้องรอสักระยะหนึ่งเพื่อดูสถานการณ์ เพราะในทางกลับกันอาจเป็นโอกาสการส่งสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าไปในญี่ปุ่นได้เพิ่มมากขึ้น แต่เชื่อว่าจะมีการสั่งซื้อสินค้าจำเป็นเพิ่มขึ้นแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ความช่วยเหลือจากผู้ประกอบการไทยจะมีการรวมตัวกันในรูปแบบต่างๆ เช่น เงิน ข้าว และอื่นๆตามความต้องการและความเหมาะสมต่อไป"
ที่มา ข่าวไทยรัฐออนไลน์
|