ุ
นายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่องค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดประมูลจัดหาเอกชนเพื่อปรับปรุงสภาพข้าวและส่งมอบข้าวขาว 15% ให้รัฐบาลอินโดนีเซีย 300,000 ตัน ว่า เป็นการทำตามขั้นตอนปกติ โดยข้าวจำนวนนี้ตกลงกันไว้ตั้งแต่รัฐบาลก่อน ถ้าจะยกเลิกก็กลัวจะเสียความ สัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม้ราคาที่ขายจะต่ำกว่าราคาปัจจุบันมาก “ขายข้าวให้อินโดนีเซีย ไม่ทราบว่าใครชนะประมูล แต่เขามาขอกรอบทำงาน ว่าจะขอเปิดหาเอกชนมาปรับปรุงสภาพเพื่อส่งมอบให้อินโดฯ ส่วนข้าวที่จะส่งมอบ อคส.จะซื้อจากไหนเป็นเรื่องของเขาหรือจะขอซื้อจากสต๊อกรัฐบาลก็ให้ทำเรื่องขออนุมัติมา”

 ด้าน พ.ต.ท.ศราวุฒิ กล่าวว่า จะดูรายละเอียดซ้ำอีกครั้งว่า ผู้ชนะประมูลปรับปรุงสภาพข้าวมีที่มาอย่างไร หากทำถูกต้องตามขั้นตอนก็ต้องปล่อยให้ทำต่อจนจบ แต่หากไม่ถูกต้องก็ต้องดำเนินการ คาดว่าสัปดาห์หน้าจะทราบผล “เรื่องข้าวอินโดนีเซีย ถ้าพบว่ามีจุดใดที่ไม่โปร่งใสก็ต้องตรวจสอบ ถ้าเหนือกว่าอำนาจที่ผมมี ก็ต้องรายงานให้รัฐมนตรีทราบว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ” พ.ต.ท.ศราวุฒิ กล่าว

พ.ต.ท.ศราวุฒิ ยังกล่าวว่า การทำงานของตนจะเน้นปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลในการรับจำนำข้าว โดยจะควบคุมการรับจำนำไม่ให้เกิดการทุจริต และเร่งแก้ไขอุปสรรคที่ติดขัดในขณะนี้ เพื่อให้เกษตรกรได้รับความสะดวกมากที่สุด ขณะเดียวกัน จะเร่งปรับปรุงภาพลักษณ์องค์กร และหาทางสร้างรายได้ เพื่อให้องค์กรเลี้ยงตัวเองได้ ยืนยันว่า หากพบว่ามีการทุจริตในองค์กร จะจัดการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

ทั้งนี้ ปลายรัฐบาลก่อน อคส. ทำเอ็มโอยูขายข้าว 300,000 ตัน ให้อินโดนีเซียราคาตันละ 559 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับราคาตลาดขณะนั้น และหากเทียบราคาปัจจุบันที่ตันละ 631 เหรียญฯ ยิ่งต่ำกว่ามาก หากขายข้าวลอตนี้ขาดทุนแน่นอน ดังนั้น เมื่อรัฐบาลใหม่เข้ามา นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ ระบุว่าจะไม่อนุมัติขายข้าวลอตนี้ แต่เมื่อเร็วๆนี้ นายกิตติรัตน์ได้พบกับรัฐมนตรีของอินโดนีเซีย ซึ่งอินโดนีเซียยืนยันว่า หากไทยไม่ขายข้าวให้เท่ากับผิดสัญญาจึงทำให้ต้องอนุมัติขายแม้จะขาดทุน ส่วนเอกชนที่ชนะประมูลคือ บริษัทสยามอินดิก้า ซึ่งแยกตัวออกจากบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ ที่เคยชนะประมูลข้าวสารในสต๊อกรัฐบาลยกลอต 1.7 ล้านตัน สมัยนายวัฒนา เมืองสุข เป็น รมว.พาณิชย์ แต่ไม่สามารถรับมอบข้าวจาก อคส.ได้ทันตามกำหนด จนต้องทิ้งสัญญาและมีปัญหาการเงินกับธนาคารพาณิชย์ด้วย

ที่มา ข่าวไทยรัฐออนไลน์