นางวัชรี วิมุกตายน อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับสมาคมโรงสีข้าวไทย และสมาคมชาวนาข้าวไทย หลังได้รับร้องเรียนถึงปัญหาราคาข้าวเปลือกสูงขึ้นจนกระทบต่อราคาข้าวสารบรรจุถุงว่า โรงสีได้แจ้งว่าเป็นเพราะขณะนี้ไทยได้ส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ โดยในช่วง 6 เดือน ตั้งแต่ ม.ค.-มิ.ย.54 สามารถส่งออกได้แล้วเกือบ 7 ล้านตัน ทำให้ข้าวได้หายไปจากตลาด ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงปลายฤดูนาปรัง ที่มีผลผลิตออกมาน้อย ก็ยิ่งทำให้ข้าวตึงตัวมากขึ้น
   
สำหรับราคาข้าวเปลือกในตลาดปัจจุบันราคาเฉลี่ยตันละ 9,000-9,800 บาท และเมื่อคิดเป็นราคาขายส่งข้าวสารจะตกอยู่ที่กก.ละ 15 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่กระทบต่อต้นทุนการผลิตข้าวสารบรรจุถุง จึงเห็นว่าผู้ผลิตข้าวถุงไม่ควรจะใช้เป็นสาเหตุในการปรับขึ้นราคา ส่วนการแก้ไขปัญหาการหาซื้อข้าวเพื่อมาทำข้าวบรรจุถุงไม่ได้นั้น ทางโรงสีได้ยืนยันว่า ยังมีข้าวจำหน่ายให้ตามปกติ แต่ก็ยอมรับในช่วงปลายฤดูนาปรังอาจมีการตึงตัวบ้าง แต่เชื่อว่าในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้าเมื่อข้าวนาปรังรอบ 2 ออกสู่ตลาด จะทำให้มีข้าวในตลาดเพิ่มมากขึ้น จากนั้นจะเข้าสู่ฤดูข้าวนาปีที่จะออกมา ซึ่งจะไม่มีปัญหาในเรื่องวัตถุดิบในการผลิตข้าวถุงอีกต่อไป
   
“ในการหารือกับผู้ผลิตข้าวถุง โรงสี และชาวนามีความเห็นว่า ข้าวถุงไม่มีเหตุผลที่จะต้องปรับขึ้นราคาในช่วงนี้ โดยการอ้างต้นทุนข้าวสูงขึ้น อาจไม่ได้สูงจริง เพียงแต่ปริมาณข้าวตึงตัวไปบ้างก็แค่นั้น แต่อีกไม่นาน ก็จะมีข้าวออกสู่ตลาด ปัญหาข้าวขาดแคลนก็จะหมดไป”
   
นางวัชรีกล่าวต่อว่า หากรัฐบาลนำมาตรการรับจำนำข้าวมาใช้ โดยรับจำนำข้าวเปลือกเจ้าตันละ 15,000 บาท และข้าวเปลือกหอมมะลิตันละ 20,000 บาท อาจทำให้ต้นทุนปรับขึ้นได้ แต่ถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะนำมาใช้เมื่อใด จึงยังไม่สามารถกำหนดได้ว่าจะมีผลกระทบมากน้อยแค่ไหน เพราะต้องดูราคาตลาดในขณะนั้น ๆ ว่าเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน
   
“แม้ต้นทุนการผลิตข้าวถุงจะเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องปรับขึ้นราคาข้าวถุงในทันที เพราะกรมฯ ได้เตรียมที่จะหาทางออกในเรื่องนี้ โดยการหารือร่วมกับผู้ประกอบการค้าปลีกขนาดใหญ่ (โมเดิร์นเทรด) เพื่อให้ลดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้กับผู้ประกอบการข้าวถุง เพื่อไม่ให้ข้าวถุงต้องปรับขึ้นราคา”
   
รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้ราคาข้าวสารที่ผู้ผลิตข้าวถุงซื้อไปบรรจุถุงอยู่ที่กก.ละ 15 บาท หากมีการรับจำนำ ก็จะทำให้ข้าวสารปรับราคาขึ้นไปอยู่ที่กก.ละ 25 บาท ส่วนข้าวหอมมะลิอยู่ที่กก.ละ 30 บาท หากจำนำเมื่อไร ราคาจะขยับขึ้นไปอยู่ที่กก.ละ 34 บาท ซึ่งเป็นต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นมาก และเป็นไปได้ที่ผู้ผลิตข้าวถุงจะต้องมีการปรับขึ้นราคาตามต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น
   
ทั้งนี้ในอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์ ข้าวนาปรังรอบ 2 ก็จะออกสู่ตลาดอีกราว 2 ล้านตันและช่วงปลายปีข้าวนาปีก็จะออกมาอีกในเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ประมาณ 20 ล้านตัน จึงมั่นใจว่าปริมาณข้าวในประเทศจะไม่ขาดแคลนและมีเพียงพอต่อความต้องการตลอดทั้งปี โดยราคาจำหน่ายปลีกข้าวหอมมะลิขนาดบรรจุถุงละ 5 กิโลกรัม ขณะนี้อยู่ที่ 180-200 บาทต่อถุง และราคาข้าวขาว 5% อยู่ที่ 120-130 บาทต่อถุง
   
นายสมเกียรติ มรรคยาธร นายกสมาคมผู้ประกอบการข้าวถุงไทย กล่าวว่า กรมการค้าภายในควรให้ปรับขึ้นราคาข้าวหอมมะลิถุงละ 10-15 บาท เพราะตอนนี้ปริมาณสต๊อกข้าวถุงรวมเหลือเพียง 1 เดือน แต่ข้าวขาวจะยังไม่มีปัญหา เพราะนาปรังจะออกสู่ตลาดก่อนในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า อีกทั้งการส่งออกข้าวขาวน่าจะชะลอตัวลงเล็กน้อย หลังจากอินเดียประกาศส่งออกข้าว แต่ปริมาณผลผลิตข้าวหอมมะลิจะออกมาช้ากว่าในช่วงปลายปี อีกทั้งขณะนี้ยังมีโรงสีบางโรงที่ชะลอการส่งมอบข้าว จึงอาจจะส่งผลให้ผู้ผลิตข้าวถุงหอมมะลิมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 
   
“หากกรมฯ ไม่ให้ปรับขึ้นข้าวหอมมะลิก็จะต้องนับถอยหลัง เพราะสต๊อกมีไม่ถึง 1 เดือน ถึงจะไม่ขาดตลาดแต่เมื่อผู้ผลิตบางรายแบกรับต้นทุนไม่ไหวก็ต้องหยุด หากกรมฯ จะให้ขายในราคาสมเหตุสมผล ก็ควรหาแหล่งข้าวให้ผู้ประกอบการ ไม่ใช่บีบเฉพาะข้าวถุง ให้ตรึงราคา แต่ปล่อยให้โรงสีขายได้ตามราคาตลาด ส่วนการเจรจากับโมเดิร์นเทรด คงเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าทำได้ก็ถือว่าเป็นประโยชน์กับผู้ประกอบการ”

ที่มา เดลินิวส์