นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 16 -17 กันยายนนี้ ทางผู้ส่งออกข้าวไทยจะหารือกับภาคเอกชนของเวียดนามเพื่อประเมินผลกระทบต่อการส่งออก จาการที่ราคาข้าวของไทยจะปรับสูงขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลไทยที่จะดำเนินโครงการรับจำนำข้าวที่ตันละ 15,000 บาท ซึ่งจะทำให้ราคาส่งออกข้าวขาวเพิ่มขึ้นเป็น 800 เหรียญสหรัฐต่อตัน ส่วนหนึ่งจะมีผลต่อราคาข้าวของเวียดนามด้วย

ทั้งนี้ การหารือจะมีความสำคัญมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เนื่อง จากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างราคาโดยฉับพลัน ที่ไม่ได้มาจากปัจจัยดีมานด์และ ซัพพลาย แต่มาจากนโยบายของรัฐบาลไทยเอง

นอกจากนี้ ทางผู้ส่งออกข้าวยังเป็นห่วงว่าโครงการรับจำนำข้าวที่กำหนดราคาไว้สูง จะทำให้เกิดภาวะช็อคตลาดในช่วงเริ่มโครงการ ซึ่งก็คือช่วงเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ทำให้ราคาข้าวโลกสูงเป็นประวัติการณ์และสูงสุดในโลก ขณะที่ราคาข้าวเฉลี่ยตลาดโลกจะอยู่ราว 650 เหรียญสหรัฐต่อตันเท่านั้น อาจทำให้คำสั่งซื้อข้าวไทยลดลง จึงอยากเสนอให้รัฐบาลออกมาตรการดูแลควบคู่ เช่น การผลักดันการส่งออกข้าวในหลายตลาด รวมทั้งแบบรัฐต่อรัฐ

อย่าง ไรก็ตามในช่วงนี้เป็นช่วงที่ประเทศคู่แข่งสำคัญ โดยเฉพาะเวียดนามกำลังจับตาดูกลไกการรับจำนำข้าวของไทยอย่างใกล้ชิด และมีการชะลอการส่งออก ส่งผลให้ปริมาณข้าวในตลาดลดลง ราคาส่งออกข้าวขณะนี้ถีบตัวสูงขึ้นใกล้เคียงกับไทย โดยข้าวขาว 5 %ขายกันตันละ 550-560 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่ข้าวไทยอยู่ที่ 560-590 เหรียญ สหรัฐ

"แน่นอนว่าส่งผลเชิงจิตวิทยา ทำให้ผู้ค้าในระบบ ทั้งชาวนา โรงสี ผู้ส่งออกเริ่มกักตุนข้าวกันแล้ว ขณะที่ไทยได้รับอานิสงส์จากการชะลอส่งออก และกักตุนข้าวของผู้ค้าในเวียดนาม ทำให้พ่อค้าหลายรายกันมาซื้อข้าวจากไทยในช่วงนี้ ในขณะที่ปริมาณข้าวในตลาดค่อนข้างฝืด"

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า รัฐบาลได้เตรียมเงินหมุนเวียน ที่จะใช้ในบริหารจัดการ โครงการรับจำนำข้าว และรับจำนำข้าวเปลือกจากเกษตรกร ที่ตันละ 15,000 บาทและ โครงการบัตรเครดิตชาวนา ซึ่งเชื่อว่า การใช้เงินงบประมาณ จะไม่สูง เพราะ เมื่อซื้อข้าวเข้ามาเก็บไว้ในสต็อกรัฐบาล จะต้องหมุนเวียนขายออกไป ซึ่งแต่ละปีไทยมีการส่งออก ประมาณ 10 ล้านตันต่อปี

ที่มา แนวหน้า