นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส.พร้อมสนับสนุนวงเงินให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร(อ.ต.ก.) วงเงิน 2 หมื่นล้านบาทสำหรับตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวเปลือกนาปรังปี 2553/2554 จำนวน 2 ล้านตัน ตามโครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเพื่อดันราคาข้าวในตลาดให้ปรับตัวสูงขึ้น แต่ขณะนี้ทั้ง 2 องค์กรยังไม่ได้ติดต่อประสานขอวงเงินเข้ามา โดยมองว่าการตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในบางพื้นที่ที่ขายข้าวได้ต่ำกว่าราคาตลาดมาก ถือเป็นกลไกลหนึ่งที่จะช่วยให้โครงการประกันรายได้สามารถทำงานได้เต็มที่

"หลักการของการประกันรายได้เพื่อต้องการให้เกษตรกรมีหลักประกันว่าปลูกข้าวแล้วจะมีรายได้เท่าไหร่ แต่ต้องทำควบคู่กับการดูแลด้านตลาดรับซื้อข้าวด้วย เพราะบางพื้นที่เกษตรกรขายข้าวได้ต่ำกว่าราคาตลาดค่อนข้างมาก รัฐบาลก็ต้องมีมาตรการเสริมเข้าไปดูแลให้ทันท่วงทีแม้การตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวน่าจะช่วยดึงราคาข้าวในตลาดขึ้นได้เพราะรับซื้อในราคาอ้างอิงแต่ต้องอยู่ที่กลไกการทำงานต้องมีผลในทางปฏิบัติและทำได้รวดเร็วด้วย" นายลักษณ์กล่าวและว่า ปีก่อนก็ใช้มาตรการดังกล่าว แต่พอ 2 หน่วยงานรับซื้อข้าวได้ระยะหนึ่งราคาข้าวในตลาดก็ปรับตัวสูงขึ้นและใช้เงินไปเพียงพันล้านบาทเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าภายใน 2 เดือนนี้ราคาข้าวในตลาดจะปรับตัวสูงขึ้นได้ เพราะความต้องการซื้อข้าวในตลาดของโรงสีและผู้ประกอบการส่งออกยังมีอยู่ แต่สาเหตุที่ราคาข้าวตกต่ำลงส่วนหนึ่งมองว่าเป็นเพราะโรงสีต้องการลดต้นทุนการรับซื้อข้าว หลังจากค่าขนส่งจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นจึงมีการแบ่งเขตการรับซื้อข้าวกัน และตกลงราคารับซื้อไม่ให้แตกต่างกันมากทำให้ราคาที่รับซื้อกัน และตกลงราคารับซื้อไม่ให้แตกต่างกันมากทำให้ราคาที่รับซื้อจากเกษตรกรต่ำกว่าราคาที่แท้จริงของตลาด หากเกษตรกรมีทางเลือกอื่นและหันไปขายข้าวให้ อคส. และ อ.ต.ก.ก็น่าจะทำให้โรงสีต้องแข่งรับซื้อข้าวในราคาที่สูงขึ้น

ส่วนการเพิ่มราคาประกันข้าวรอบใหม่ในโครงการประกันรายได้ที่เพิ่มราคาประกันข้าวเปลือกอีกตันละ 1,000 บาทตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นข้าวภาคกลางที่จะมีปริมาณออกมามากทำให้ธ.ก.ส.ต้องเตรียมเงินไว้จ่ายชดเชยส่วนต่างมากขึ้น 1.1 หมื่นล้านบาทรวมของเดิม 1.9 หมื่นล้านบาท ก็น่าจะใช้เงินรวม 3 หมื่นล้านบาท

สำหรับแนวทางการประกันภัยพืชผลทางการเกษตร โดยเฉพาะข้าวที่กระทรวงการคลังได้เสนอแนวทางให้คณะกรรมการพิจารณากรอบแนวทางประกันภัยพืชผลเนื่องจากภัยธรรมชาติ ที่มีนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเป็นประธานนั้นยังไม่ได้ข้อยุติ โดยต้องมีการหารือกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้งก่อนที่ ธ.ก.ส.จะเสนอให้ที่ประชุมบอร์ดของธนาคารรับทราบ

โดยเฉพาะการรับฟังความคิดเห็นของเอกชนบริษัทประกันว่ามีความสนใจเข้าร่วมโครงการหรือไม่ ซึ่งมองว่าการประกันภัยข้าวที่จะทำพร้อมกันทั่วประเทศนั้น 57 ล้านไร่นั้นน่าจะมีความเสี่ยงคุ้มค่า โดย ธ.ก.ส.จะชักจูงลูกค้าที่มีกว่า 37 ล้านไร่เข้าร่วมโครงการ และจะทำหน้าที่รับจ่ายค่าเบี้ยประกันให้รวมถึงการร่วมประเมินความเสียหายของเกษตรกรเพื่อลดต้นทุนของเอกชน

ทั้งนี้ หากเอกชนไม่สนใจเข้าร่วมก็ต้องตั้งกองทุนเข้ามาดำเนินการ โดยเบื้องต้นจะมีวงเงินประมาณ 4.5 พันล้านบาท ส่วนค่าเบี้ยประกันที่ 140 บาท แบ่งเป็นเกษตรกร 50 บาท ธ.ก.ส. 50 บาทและรัฐ 40 บาท นั้นยังสามารถหารือได้ว่าใครจะรับภาระ ซึ่งมองว่าเกษตรกรส่วนใหญ่พร้อมที่จะจ่ายค่าเบี้ยอยู่แล้วไม่ว่าจะ 50 หรือ100 บาท โดยที่ ธ.ก.ส.ไม่ต้องออกค่าเบี้ยให้แต่พร้อมจะเพิ่มวงเงินกู้ที่ครอบคลุมภาระค่าเบี้ยประกันให้ เพราะหากนาข้าวได้รับความเสียหายก็จะได้รับความคุ้มครองเต็มที่ไร่ละ 2,000 บาท โดยแบ่งเป็นค่าสินไหมทดแทน 1,400 บาท และรัฐจะชดเชยให้ 600 บาท

ที่มา ASTVผู้จัดการรายวัน