เมื่อวันที่ 22 ก.พ. นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการศึกษา ผลกระทบของการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ต่อเศรษฐกิจข้าวไทย ที่สำรวจการรับรู้และความเข้าใจของชาวนาไทย และโรงสี ว่า ชาวนาทั้ง 100% ยังไม่รู้จักและไม่เข้าใจรายละเอียดของเออีซี ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการโรงสีส่วนใหญ่ 86.67% ตอบว่ารู้จักเออีซี และมีผู้เข้าใจรายละเอียดของเออีซีเพียง 10% เท่านั้น

จากการศึกษาผลกระทบจากการปรับลดภาษีต่อรายได้ครัวเรือนของไทยพบว่า รายได้ชาวนาก่อนการเกิดเออีซีมี 50,524 บาทต่อครัวเรือนต่อปี และหลังเกิดเออีซี ในกรณีที่มีการลดภาษีนำเข้าข้าวเป็น 0% จะมีรายได้เพิ่มขึ้น 51,927 บาท หรือเพิ่มขึ้น 1,403 บาท ส่วนรายได้ผู้ที่เกี่ยวข้องที่ไม่ใช่ชาวนา (โรงสี ผู้ส่งออก) ก่อนเออีซีมี 321,709 ต่อครัวเรือนต่อปี หลังเออีซี 329.583 บาท เพิ่มขึ้น 5,665 บาท และจากการประเมินประโยชน์จากเออีซี ชาวนาจะได้รับประโยชน์ 15% ขณะที่ผู้เกี่ยวข้องที่ไม่ใช่ชาวนาจะประโยชน์ถึง 84.88%

นายอัทธ์ กล่าวอีกว่า การเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกข้าวสารของไทยและเวียดนามในตลาดสำคัญใน อาเซียน ศึกษาจากข้อมูลการส่งออก 3 ไตรมาสแรกปี 53 สามารถประเมินได้ว่า ตลาดฟิลิปปินส์ ส่วนแบ่งตลาดข้าวขาวของไทยจะเพิ่มขึ้นจาก 2.47% เป็น 25.61% แต่ตลาดข้าวในอาเซียนของเวียดนาม จาก 96.45% จะลดลงเหลือ 74% มาเลเซียส่วนแบ่งตลาดของไทยจะเพิ่มจาก 15.94% เป็น 25.99% ส่วนเวียดนาม จาก 77.98% ลดเหลือ 58.21% แต่ตลาดที่ส่วนแบ่งข้าวไทยจะลดลง ได้แก่ ตลาดสิงคโปร์ ลดจาก 65.99% เหลือ 61.83% แต่เวียดนามเพิ่มจาก 8.05% เป็น 15.03% ตลาดอินโดนีเซียลดจาก 82.07% เหลือ 66.61% ขณะที่เวียดนามเพิ่มขึ้น เพราะการลดภาษีทำให้ส่วนต่างราคาข้าว 2 ประเทศลดลง เป็นโอกาสการแข่งขันและเข้าถึงตลาดมากขึ้น

จากผลการศึกษาข้างต้นชี้ให้ เห็นว่า การส่งออกข้าวสารของไทยในตลาดอาเซียน ที่มีเวียดนามเป็นคู่แข่งสำคัญ เวียดนามจะได้ประโยชน์จากเออีซีมากว่าไทย เพราะเวียดนาม ครองตลาดข้าวในหลายประเทศ โดยเฉพาะ ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ขณะที่ผลประโยชน์จากเออีซีต่อรายได้ของชาวนายังมีสัดส่วนน้อยกว่าผู้ เกี่ยวข้องที่ไม่ใช่ชาวนา” นายอัทธ์ กล่าว

ดังนั้น ไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือเออีซี ผ่านการให้ความรู้แก่ชาวนาและผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้เข้าใจวิธีการใช้ประโยชน์จากข้อตกลงทางการค้า หากไม่เร่งดำเนินการอาจมีข้าวจากประเทศอาเซียนเข้ามาแข่งขันกับข้าวไทยมาก ขึ้น ส่วนการทำตลาดข้าวเพื่อแข่งขันกับเวียดนามนั้น ต้องแบ่งแนวทางให้ชัดเจน แยกระหว่างตลาดในอาเซียน และนอกอาเซียน รวมทั้งต้องระบุการทำตลาดในอาเซียนเป็นหลัก โดยไทยต้องย้ำจุดขายด้านคุณภาพให้ชัดเจน และรุกทำตลาดในประเทศสำคัญ เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์

ที่มา ไทยรัฐออนไลน์