นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในงานสัมมนาเปิดตลาดข้าวไทยสู่สากล ด้วยสัญญาล่วงหน้าข้าวขาว 5% เอฟโอบี ว่า แนวโน้มการส่งออกข้าวปี 2554 คาดว่าจะสูงกว่าเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดไว้ 9.5 ล้านตัน เพราะยอดการส่งออก 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.) สามารถส่งออกได้แล้ว 3 ล้านกว่าตัน หรือเฉลี่ยเดือนละ 1 ล้านตัน เป็นผลมาจากความต้องการข้าวตลาดโลกเพิ่มขึ้น หลังจากหลายประเทศประสบภัยธรรมชาติ ดังนั้นในช่วงครึ่งปีที่เหลือไทยจะส่งออกข้าวได้ในระดับไม่ต่ำกว่านี้ โดยเอกชนได้ยืนยันว่ามีคำสั่งซื้อข้าวล่วงหน้าจนถึงเดือนพ.ค.แล้ว
ขณะที่ราคาข้าวเปลือกภายในประเทศขณะนี้ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยข้าวเปลือกล่าสุดอยู่ที่ตันละ 8,200-8,300 บาท และอาจสูงไปถึง 8,900-9,000 บาทต่ สอดคล้องกับการส่งออกที่เพิ่มขึ้น แต่หากข้าวภายในประเทศราคาตกต่ำ รัฐบาลมีเครื่องมือด้วยการตั้งโต๊ะรับซื้อข้าวในราคาอ้างอิง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรอีกทาง ซึ่งขณะนี้มีการเปิดจุดรับซื้อแล้ว 80-90 จุดทั่วประเทศ
สำหรับการเปิดซื้อขายข้าวขาว 5% ล่วงหน้าแบบเอฟโอบี ของตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (เอเฟต) จะเปิดซื้อขายครั้งแรกวันที่ 29 เม.ย.นี้ เชื่อว่าจะเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขายทั้งไทยและต่างประเทศ ในการประกันความเสี่ยง และยังจะเป็นกลไกกำหนดราคาอ้างอิงข้าว ในฐานะที่ไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวเบอร์หนึ่งของโลก ทางเอเฟทหวังว่าการเปิดสัญญาชนิดนี้ จะช่วยให้ผู้ซื้อต่างประเทศสามารถเข้าเทรดได้โดยตรง และทำให้ปริมาณการซื้อขายข้าวในตลาดเอเฟตเพิ่มขึ้นเป็น 200 สัญญา/วัน
นายเสริมศักดิ์ ควรครองธรรม อุปนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า ในช่วง 3-5 ปีจากนี้ ไทยจะยังเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งต่อไป แม้ไทยจะเสียตลาดข้าวขาวให้กับเวียดนาม แต่ได้ข้าวหอมมะลิและข้าวนึ่งทดแทน แต่เมื่องเทียบคุณภาพ ข้าวไทยถือว่ามีคุณภาพกว่าข้าวประเทศอื่นๆมาก ดังนั้นเชื่อว่าการส่งออกข้าวไทยปีนี้น่าจะส่งออกได้มากถึง 10 ล้านตัน เพราะเพียงแค่ 3 เดือนสามารถส่งออกได้ 3 ล้านตันแล้ว เพราะปกติคำสั่งซื้อข้าวจะมีจำนวนมากในช่วงครึ่งปีหลัง
นายเกียรติศักดิ์ กัลยาสิริวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ Novel Commodities S.A. กล่าวว่า แนวโน้มราคาข้าวปีนี้จะยังดีอยู่ โดยราคาส่งออกข้าวน่าจะปรับขึ้นไปอยู่ 500-550 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากปัจจุบัน 470-480 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งเป็นราคาที่ผู้ซื้อรับได้ และเกษตกรก็อยู่ได้ เพราะเมื่อทอนกลับมาราคาข้าวเปลือกจะอยู่ที่ 8,800 บาท/ตัน ขณะที่ต้นทุนชาวนาอยู่ที่ 7,000 บาท/ตัน
นายปราโมทย์ วานิชานนท์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า การซื้อขายข้าว 5% แบบเอฟโอบี จะประสบความสำเร็จ ก็ต่อเมื่อคณะกรรมการกำกับการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า (กสล.) ปรับเงื่อนไขให้จูงใจมากกว่านี้ ซึ่งตั้งข้อสังเกตุไว้ 4 ประเด็น คือ สัญญารับมอบข้าวที่กำหนดไว้ 36 เหรียญสหรัฐ/ตัน สูงเกินไป เพราะสุดท้ายผู้ซื้อผลักภาระมาที่ราคาอยู่ดี 2. ควรเปิดให้เอกชนรายย่อยที่มีความพร้อมสามารถเข้าร่วมเป็นคลังสินค้ารับรองได้มากขึ้น จากปัจจุบันจำกัดให้กับรายใหญ่เพียง 3 ราย เท่านั้น 3 ควรเพิ่มความหลากหลายชนิดข้าวที่เทรดในเอเฟตมากขึ้น เพื่อเกิดแรงจูงใจในการเข้ามา 4.นักการเมืองและรัฐบาลควรกำหนดนโยบายชัดเจน ไม่เป็นอุปสรรคต่อการซื้อขายในเอเฟต
ที่มา โพสต์ทูเดย์
|