นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าจากการที่หลายพรรคการเมืองได้ชูนโยบายต่างๆ เพื่อหาเสียงเลือกตั้ง โดยนโยบายที่แต่ละพรรคให้ความสำคัญคือเพื่อเกษตรกร แต่เนื่องจากเวลานี้นโยบายเกี่ยวกับสินค้าข้าวแต่ละพรรคมีนโยบายที่แตกต่างกันมาก
 
ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา ในการประชุมประจำสัปดาห์ของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ได้มีแนวคิดร่วมกันว่าจะเชิญหัวหน้าพรรคหรือผู้ที่จัดทำนโยบายข้าวของ 3 พรรคการเมืองใหญ่ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย มาแสดงวิสัยทัศน์ให้กับคนในวงการค้าข้าวได้รับฟัง ทั้งนี้เพื่อจะได้เกิดความชัดเจน และหลังจากมีการเลือกตั้งจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จ จะได้เสนอนโยบายข้าวต่อรัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง
 
"แนวคิดดังกล่าวยังเป็นแนวคิดของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ยังไม่ได้หารือร่วมกับสมาคมที่เกี่ยวข้องได้แก่สมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมชาวนาไทย และสมาคมค้าข้าวไทย (หยง) รวมถึงสมาคมผู้ประกอบการค้าข้าวถุง ซึ่งจะได้หารือในโอกาสต่อไป อย่างไรก็ดีก่อนหน้านี้ในการประชุมประจำสัปดาห์ของสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ได้เชิญสมาคมโรงสีข้าวไทย สมาคมค้าข้าวไทย มาร่วมหารือด้วยนั้นได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อรวบรวมเกี่ยวกับเรื่องข้าวเสนอรัฐบาลใหม่"
 
นายชูเกียรติ กล่าวว่าในการประชุมร่วมกันของสมาคมที่เกี่ยวเรื่องข้าว เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม เบื้องต้นมีความเห็นร่วมกันว่าจะเสนอรัฐบาลให้เปิดเสรีการค้าข้าวภายในกรอบอาเซียน เพื่อจะได้นำเข้าข้าวเปลือกจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา และไทยจะได้เป็นศูนย์กลางการค้าข้าวแห่งภูมิภาคอาเซียน โดยการนำเข้าข้าวเปลือกให้มีการกำหนดโซนว่าเขตไหนควรนำเข้าได้ เพราะเวลานี้ประเทศเวียดนามมีความได้เปรียบไทยมาก เนื่องจากเวียดนามนำเข้าข้าวเปลือกจากประเทศกัมพูชา ทำให้ปริมาณการส่งออกข้าวของเวียดนามขยับใกล้กับการส่งออกของไทยเข้ามาทุกขณะแล้ว
 
อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลกลับไปใช้นโยบายรับจำนำข้าว ทุกอย่างจะจบลงทันทีเพราะการเปิดเสรีนำเข้าข้าวจะทำได้ลำบาก ยิ่งนโยบายรับจำนำราคาสูงจะยิ่งทำให้ข้าวจากประเทศเพื่อนบ้านทะลักเข้าสู่โครงการรับจำนำของไทย แต่ถ้าหากเป็นนโยบายประกันรายได้ สามารถดำเนินร่วมกันได้ เพราะฉะนั้นคิดว่าแนวนโยบายข้าวจะเสนอหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลเสร็จเรียบร้อยแล้ว
 
สำหรับนโยบายข้าวที่แต่ละพรรคประกาศออกมาคือ พรรคประชาธิปัตย์ยังคงใช้นโยบายประกันรายได้สินค้าเกษตร รวมทั้งข้าวด้วย กำหนดราคาประกันรายได้สำหรับข้าวเปลือกเจ้าซึ่งเป็นชนิดข้าวที่ปลูกกันมากที่สุดที่ตันละ 11,000 บาท เกษตรกรเข้าร่วมโครงการได้รายละ 30 ตัน พรรคเพื่อไทยประกาศหากได้เข้ามาบริหารประเทศจะเปลี่ยนจากโครงการประกันรายได้เป็นโครงการรับจำนำ โดยกำหนดราคารับจำนำข้าวเปลือกเจ้าตันละ 15,000 บาท ไม่จำกัดจำนวนเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการ ส่วนพรรคภูมิใจไทยประกาศประกันรายได้ข้าวเปลือกเจ้าที่ตันละ 20,000 บาท

ที่มา ฐานเศรษฐกิจ