ราคาสัญญาล่วงหน้าข้าวของสหรัฐพุ่งขึ้น 3 % สู่จุดสูงสุดรอบ 1 เดือนเมื่อวันจันทร์ (24ต.ค.) ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า จีนอาจจะหันมาซื้อข้าวจากสหรัฐ หลังจากประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่สุดของโลก ประสบเหตุน้ำท่วมอย่างรุนแรง
        
ภาวะน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปีในไทยสร้างความเสียหายต่อนาข้าว 12.5 % ของไทย โดยจีนนำเข้าข้าวเกือบทั้งหมดจากไทยและเวียดนาม
       
การซื้อขายสัญญาข้าวบางสัญญาในตลาดชิคาโก (ซีบีที) หยุดชะงักลงหลังจากราคาพุ่งขึ้นชนเพดาน 50 เซนต์ต่อซีดับเบิลยูที (100 ปอนด์ หรือ45.36 กก.) โดยราคาสัญญาข้าวส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่งขึ้น 50 เซนต์ สู่ 16.905 ดอลลาร์ต่อซีดับเบิลยูที
        
นายเดนนิส เดอลาฟเทอร์ นักวิเคราะห์ในตลาด กล่าวว่า มีคำสั่งซื้อเข้ามาในตลาดซีบีที เพราะว่าภาวะน้ำท่วมในไทยอาจอยู่ในภาวะเลวร้ายเกินคาด โดยขณะนี้เป็นที่คาดกันว่าข้าวสาร 1.5-2.5 ล้านตัน อาจจะไม่ได้รับการส่งออกจากไทย และสหรัฐอาจจะได้ส่งออกข้าวแทนที่ไทยในบางส่วน
        
นายเกร็ก ยีลดิง จากสมาคมผู้ผลิตข้าวสหรัฐกล่าวว่า สหรัฐไม่ได้ส่งออกข้าวให้จีน เพราะว่าทั้งสองประเทศนี้ ไม่มีพิธีสารด้านสุขอนามัยพืชระหว่างกัน
        
อย่างไรก็ดี นายยีลดิง กล่าวว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลจีน  เยือนไร่ข้าวในรัฐอาร์คันซอส์และหลุยเซียนาในเดือนก.ย.เพื่อประเมินความเสี่ยงด้านศัตรูพืช และคาดกันว่าเจ้าหน้าที่จีนจะส่งรายงานแก่สำนักงานตรวจสอบสุขภาพพืชและสัตว์ของสหรัฐ (เอฟิส) ในช่วงต่อไป
        
นายยีลดิงกล่าวว่า ผู้นำเข้าสองรายจากจีนมีกำหนดจะเดินทางเยือนไร่ข้าวในรัฐแคลิฟอร์เนียในเดือนหน้าเนื่องจากสนใจที่จะซื้อข้าวสหรัฐ
         
นายไมค์ ซูโซโล นักวิเคราะห์ของบริษัทโกลบัล คอมมอดิตี อะนาลิติกส์ กล่าวว่า มีข่าวลือว่าจีน จำเป็นต้องซื้อข้าวจากประเทศผู้ผลิตรายอื่นๆ ซึ่งรวมถึงสหรัฐ โดยเป็นผลจากเหตุอุทกภัยในไทย
          
ด้านนายแจ็ค สกอวิลล์ นักวิเคราะห์ของบริษัทไพรซ์ ฟิวเจอร์ส กรุ๊ป กล่าวว่า เวียดนามครองส่วนแบ่งเกือบ 50 % ในปริมาณข้าวที่จีนนำเข้า และเวียดนามก็ทำสัญญาขายข้าวทั้งหมดไปแล้วจนถึงสิ้นไตรมาสแรกของปีหน้า
          
"ไทยครองส่วนแบ่งอีก 50 % ในจีน ดังนั้นเหตุน้ำท่วมในไทยจึงมีความสำคัญ"
            
สำนักงานศุลกากรจีน  รายงานว่า ปริมาณการนำเข้าข้าวทั้งหมดในจีนในช่วงหนึ่งปี สิ้นสุดเดือนก.ย.อยู่ที่ 488,853 ตัน พุ่งขึ้น 110 % จากช่วงหนึ่งปีสิ้นสุดเดือนก.ย. 2553

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ